Thursday, December 27, 2007

Exercises to increase Height

Credit
September 30th, 2007



There are many people all over the world, who wish desperately to enhance their height. They want to have a good height but don’t know the proper ways to increase the height. Due to this many people lose opportunities to take part in many activities and try their choice of fields like army, police force, air force, modeling, air hostess and other fields where height is a demanding criteria. People try many different ways like medicine, acupressure treatments etc. to gain height; but these all are very expensive and doubtful ways and there is no 100% assurance whether it will work or not. The best way to gain height is to do some exercises to increase height.

There are many types of exercises like yoga, stretching and free hand exercises to increase height. Physical trainers and health science experts have accepted the fact that exercising is the best to increase height.

The different exercises to increase height are listed below:

Yoga:
Yoga is a very good form of exercising with no side effects. Few yoga exercises to increase your height are as follows:
Lie down straight on the floor. Let your body rest comfortably. Then slowly stretch your left foot in the direction of right and right foot in the direction of left. Do not stretch too hard. Then bring back your foot to the normal position. Now stretch your right foot towards right and left foot towards left, but follow the same guidelines while releasing.
Lie down on your stomach and chest. Keep your palms on the ground near the hips. Slowly bend your legs from your knees and lift the legs up. Let your thigh remain on the ground to provide you support. Now take your hands backward and try to hold your legs. Try to stretch your legs as much as possible while keeping your torso uplifted. Don’t try to stretch too much. And then relax slowly.

Stretching & Free Hand Exercises:

These exercises to increase height are very useful. Some of the exercises to increase height are as follows:
Forward Bend: To do this exercise stand straight with legs wide spread. Keep your hands up straight and then bend down forward and touch the floor with your hands, without breaking your knees, then return back to your original position.
Spot Jump: Keep your legs close. Stand on your toe and start jumping with your hand straight up in the air for at least 2 minutes.
Bar Hanging: Hold a bar that is at least 7 feet above the ground level (so that your foot doesn’t touch the ground when you hand on the bar with your arms straight). Now swing your body while hanging to the bar. Make sure you do not swing with the help of your wrist. Keep your spine straight while swinging.

There are many more exercises to increase height, but the above-mentioned are few basic and most practiced.

Tuesday, December 11, 2007

FWD mail ที่ซึ้งที่สุด

ฉันได้รับข้อความนี้จากเพื่อนที่ดีคน หนึ่ง ซึ่ง เพื่อนคนนี้ได้เลือกไปแล้ว
ฉันเอง ก็ต้องเลือกเหมือนกัน และ ฉันก็ เลือกแล้ว
คราวนี้ ตาพวกคุณแล้วล่ะที่จะต้องเลือกบ้าง

เรื่อง มีอยู่ว่า.....
ชายคน หนึ่งเคยลงโทษลูกสาววัย 5 ขวบของ เขา เพราะนำ เงินไปซื้อกระดาษห่อของขวัญสีทองม้วนหนึ่ง ซึ่งมีราคาแพง

ในขณะ ที่การเงินที่บ้านฝืดเคือง และเค้า ก็อารมณ์เสียอีกครั้งเมื่อลูกสาวของเขานำกระดาษสีทองราคาแพง นั้นมาห่อ กล่องของขวัญเพียงเพื่อตกแต่งไว้ใต้ต้น คริสต์มาส

แต่ กระนั้น...ลูกสาวตัวน้อยก็ได้มอบกล่องของขวัญนั้นให้พ่อของเธอในเช้าวันรุ่ง ขึ้น
และพูด ว่า ' นี่สำหรับพ่อ ค่ะ '

พ่อของ เธอกระอักกระอ่วนกับอาการที่ได้แสดงออกไปก่อนหน้า นี้ แต่แล้ว ความโกรธก็ได้พุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาพบ ว่ามันเป็นเพียงกล่องเปล่า
เขาพูด ด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดว่า

' ลูกไม่รู้จริงๆ อย่างนั้นหรือว่าการจะให้ของขวัญใคร
มันจะ ต้องมีอะไรอยู่ในกล่องของขวัญด้วย ? '

เด็ก น้อยมองไปที่พ่อของเธอด้วยน้ำตา และพูด ว่า

' โอ...พ่อจ๋า มันไม่ ใช่กล่องเปล่าเลย หนูเป่าจูบเข้าไปจนเต็ม '

ชายคน นั้นสะอึก ตัวชาด้วยความเสียใจ
เขาทรุด ตัวลงแล้วโอบกอดลูกสาวไว้แน่น

เขาขอ ให้ลูกสาวยกโทษให้เขา
กับท่า ทางโกรธเกรี้ยวเกินเหตุของเขา

ต่อมา ไม่นานอุบัติเหตุก็ได้คร่าชีวิตลูก
สาวของ ชายคนนั้นไป

และว่า กันว่าเขาเก็บกล่องของขวัญสีทองล้ำค่านั้น
ไว้ข้าง เตียงตลอดชีวิตของเขาเลยทีเดียว

และ เมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกท้อแท้ใจ
หรือ ต้องเผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นแสนเข็น เขาจะเปิดกล่องใบ นี้

เพื่อ หยิบจูบในจินตนาการขึ้นมาหนึ่งจูบ
แล้ว รำลึกถึงความรักของลูกน้อย ที่ได้ใส่จูบนั้นไว้ให้ เขา

ในความ เป็นจริง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
พวกเรา ทุกคนล้วนได้รับกล่องของขวัญสีทองซึ่ง
บรรจุ ด้วยความรัก ที่ปราศจากเงื่อนไข และรอยจูบจาก
ลูกๆ , ครอบครัว และ เพื่อนๆ


ไม่มี สมบัติใด ล้ำค่าไปกว่านี้อีกแล้ว


ตอนนี้ คุณมี 2 ตัวเลือกแล้วล่ะ คุณจะ


1. ส่งข้อ ความนี้ต่อไปยังเพื่อนๆ และ ญาติๆ ของคุณ หรือ
2. ลบมัน ทิ้งซะ


แล้วทำ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรกระทบใจคุณเลยแม้แต่ น้อย


อย่าง ที่เห็นนี่ล่ะ ฉันได้เลือกข้อ 1 ไป แล้ว


เพื่อน คือของขวัญ ผู้ซึ่งพยุงให้เรายืนขึ้นด้วยเท้า
เมื่อ ปีกของเราไม่รู้ว่าจะบินอย่างไร


มองโลก ในแง่ดี และปฏิบัตดี
ฉันขอ ขอบคุณสำหรับ....


สำหรับ สามีที่นอนกรนทั้งคืน
เพราะ นั่นหมายถึงเขากำลังหลับอยู่ที่บ้านกับฉัน ไม่ใช่กับผู้หญิง อื่น


สำหรับ ลูกสาววัยรุ่นที่กำลังบ่นเรื่องล้างจานอยู่
เพราะ นั่นหมายถึงเธออยู่บ้าน ไม่ใช่ที่ถนน


สำหรับ ภาษีที่ต้องเสีย
เพราะ นั่นหมายถึงฉันมีงานทำ


สำหรับ ข้าวของต่างๆ ที่ต้องคอยเก็บหลังงานปาร์ตี้
เพราะ นั่นหมายถึงฉันถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูง


สำหรับ เสื้อผ้าที่พอดีจนเกือบจะคับเกินไป
เพราะ นั่นหมายถึงฉันยังมีกิน


สำหรับ เงาที่คอยมองดูฉันทำงาน
เพราะ นั่นหมายถึงฉัน กำลังได้รับแสงแดด


สำหรับ พื้นที่ต้องคอยขัดถู และหน้าต่างที่ต้องทำความสะอาด
เพราะ นั่นหมายถึงฉันมีบ้านให้ดูแลรักษา


สำหรับ คำบ่นต่างๆ ที่มีต่อรัฐบาล
เพราะ นั่นหมายถึงเรามีอิสระ ในการที่จะแสดงความคิด เห็น


สำหรับ ที่จอดรถที่อยู่ไกลสุดของลานจอดรถ
เพราะ นั่นหมายถึงฉันสามารถเดินได้ และฉันมีรถ


สำหรับ ผ้ากองโตที่รอการซักรีด
เพราะ นั่นหมายถึงฉันมีเสื้อผ้าสวมใส่


สำหรับ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทุกสิ้นวัน
เพราะ นั่นหมายถึงฉันสามารถทำงานหนักได้


สำหรับ เสียงปลุกในทุกๆ เช้า
เพราะ นั่นหมายถึงฉันยังมีชีวิตอยู่


และสุด ท้าย.......


สำหรับ อีเมล์ที่ส่งมาหาฉันมากมาย
เพราะ นั่นหมายถึงฉันมีเพื่อนๆ

Tuesday, December 04, 2007

รักแห่งสยาม : ตราบใดยังมีรักย่อมมีหวัง

- วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา -


source

เราอยากทำหนังรักเหมือนคนอื่นๆ เราเก็บเล็กผสมน้อยไปนั่งมองคนที่สยาม เห็นคนเลิกกันแล้วเหมือนดู มิวสิควิดีโอ เราก็งงว่านี่มีใครไปตั้งกล้องถ่ายไว้หรือเปล่า นี่มันหนังชัดๆ เราเห็นความรักหลากหลายรูปแบบ แล้วก็เกิดคำถามว่า ทำไมคนเราต้องรักกัน?



จากคำถามนั้น ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล นำมาขยายขึ้นเป็นบทหนังเรื่องหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องรักของ เด็กผู้ชายสองคน ที่เคยอาศัยอยู่บ้านตรงข้ามกัน มิวอาศัยอยู่กับอาม่า ที่ไม่ยอมย้ายตามครอบครัวไปอยู่ระยอง อาม่าสอนให้มิวเล่นดนตรี เพื่อให้ -วันหนึ่งจะได้ใช้เสียงเพลงบอกรักใครสักคน – เหมือนที่อากง เคยบอกอาม่าผ่านเสียงเปียโน ในขณะที่โต้ง อาศัยอยู่ในครอบครัวชาวคาธอลิค ที่อบอุ่น จนกระทั่งวันหนึ่ง แตง พี่สาวของโต้ง หายตัวไปขณะเที่ยวเชียงใหม่ หลังจากแตงหายตัวไป ครอบครัวของโต้งก็ไม่เหมือนเดิม พวกเขาย้ายไป และโต้งกับมิวก็จากกัน



จนกระทั่งทั้งคู่กลับมาพบกันหลังผ่านเวลาไปหกปี ในตอนนั้น อาม่าจากมิวไปแล้ว มิวฟอร์มวงดนตรีกับเพื่อนนักเรียน และกำลังไปได้สวย ในขณะที่โต้งอาศัยอยู่ในบ้านที่พ่อติดเหล้า และแม่พยายามเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเพื่อประคับประคองครอบครัว หญิงเด็กที่ย้ายมาใหม่แอบชอบมิว ในขณะที่โต้งคบอยู่กับโดนัท ดาวโรงเรียน ทั้งคู่พบกันอีกครั้งกลางสยามสแควร์ จากเพื่อนเก่า ทั้งคู่ๆค่อยเรียนรู้กัน และนำพาความสัมพันธ์ไปไกลกว่าเพื่อนเล่นในวัยเด็ก ท่ามกลางคนรอบข้างที่ต่างทำทุกสิ่งด้วยความรัก หากไม่อาจแน่ใจนักว่าความรักจะนำมาซึ่งความสุขหรือความเจ็บปวดกันแน่



เสียงใจฉันเอง ร้องเพลงให้เธอฟังอยู่



ก่อนหน้านี้เรามักคุ้นชินกับ มะเดี่ยว – ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ในฐานะ คนทำหนังสยองขวัญรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง พิจารณาจากหนังใหญ่ สองเรื่องแรกของเขา อย่าง คน ผี ปีศาจ และ 13 เกมสยอง (ซึ่งสามารถผนวกเอา 12 เข้าไปได้ด้วย) แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาทำ หนังรักวัยรุ่น หากพิจารณาลำดับหนัง มันอาจชวนให้ขมวดคิ้ว ทั้งที่จริงแล้วนี่คือหนังที่เจ้าตัวอยากทำมาตั้งแต่ก่อนทำ 13 และ ติดอยู่ในใจมาตลอดหลายปี ที่สำคัญ เราอาจเรียกหนังเรื่องนี้ว่า หนังส่วนตัวของมะเดี่ยวได้อย่างเต็มปาก เพราะตัวละคร เรื่องราว ล้วนหลั่งไหลมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของตัวผู้กำกับเอง เขาหยิบยกเรื่องของพ่อแม่ พี่สาว กระทั่งเรื่องส่วนตัว ขึ้นมาสร้างให้กลายเป็นหนังเรื่องหนึ่ง ขยายเรื่องส่วนตัวไปสู่เรื่องสากลที่คนทั่วไปร่วมรับรู้ได้



มีความจริงอยู่ในความรักตั้งมากมาย



ไม่ใช่แค่เฉพาะชื่อ หนังเรื่องนี้เป็นหนังรัก หนังรักที่เลยพ้นไปจาก ประเด็นความรัก ชายหญิง หรือกระทั่งชาย ชาย(ซึ่งทำให้หนังถูกมองเป็นหนังเกย์ไป) แทนที่จะโฟกัสความรักแบบใดแบบหนึ่ง ตัวละครในหนังกลับล้วนสะท้อนแบบจำลอง ของ -ความรัก- ทั้งในด้านบวกและลบ ความรักในหนังเรื่องนี้ อาจนิยามจากคู่ความสัมพันธ์ง่ายๆ เช่น รักวัยรุ่นชายหญิง ( มิว-หญิง , โต้ง -โดนัท) ชาย ชาย ( มิว -โต้ง) สามี ภรรยา (กร -สุนีย์ ) พ่อแม่ลูก ( กร+สุนีย์ – โต้ง+แตง , อาม่า-มิว) ความรักระหว่างเพื่อน (มิว -เพื่อน , โต้ง-เพื่อน) หรือกระทั่ง ความรักของคนแปลกหน้า ( จูน – กร + สุนีย์) แต่เลยพ้นไปกว่านั้นเราอาจพูดเสียใหม่ได้ว่า หนังให้เราเห็นทั้งความรักในรูปแบบของการพลัดพรากจากลา (การหายไปของแตง ความตายของอาม่า) ความรักแบบ PUPPY LOVE ที่หวานฉ่ำ และขมขื่นในคราวเดียว(เรื่องของหญิงกับมิว) หรือความรักที่เปราะบางและเจือด้วยการครอบครองเป็นเจ้าของ ( โต้งกับโดนัท) ความรักของเพื่อนร่วมก๊วน ( มิวกับเพื่อน) ความรักที่ถูกทดสอบจากเงื่อนไขของชีวิต ( โต้งกับมิว) ความรักของสามีภรรยาที่ยังทนอยู่ด้วยกัน (กรกับสุนีย์ และฉากไข่พะโล้อันลือลั่น) ความรักของแม่กับลูก (ฉากที่ยอดเยี่ยมมากคือฉากที่สุณีย์ขับรถตามหาลูกทั้งคืน และไม่ว่าอะไรลูกสักคำในตอนเช้า) ซึ่งไม่ได้มีแต่ด้านบวก หากยังทำร้ายได้ในอีกทาง (เมื่อสุนีย์ไปขอร้องมิวให้เลิกคบกับโต้ง) หรือกระทั่งความรักความเห็นใจในฐานะที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกัน (จูนกับครอบครัวของโต้ง) เราได้มองเห็นว่า ตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัว รักกันและกัน แต่ความรักของแต่ละตัวละครไม่ได้นำพามาเฉพาะแต่ความสุข หากยังนำมาซึ่งความทุกข์ของความพลัดพราก ไปจนถึง ความรักนี่เองที่ทำให้เราทำร้ายกันและกันได้อย่างมากมาย



เราอาจแบ่งตัวละครในหนังได้เป็นสองชุดความสัมพันธ์ โดยแบ่งเป็น ความสัมพันธ์ในแบบ ครอบครัว ( รักต่างเพศ: ครอบครัวของโต้ง ) และความสัมพันธ์แบบ ไม่เป็นครอบครัว ( รักร่วมเพศ : ครอบครัวของมิว และความสัมพันธ์ของมิวกับโต้ง )เราอาจมองได้ว่า หนังเริ่มต้นด้วยการให้ทั้งสองครอบครัวเผชิญความเจ็บปวด เมื่อแตง หายไป และ อาม่าตายลง โต้งกับมิวล้วนเผชิญหน้ากับการพลัดพรากจากคนอันเป็นที่รัก มิวเติบโตขึ้นในฐานะของเด็กชายผู้อ้างว้างโดดเดี่ยว ไร้เพื่อน และไร้คนเข้าใจ ในขณะที่โต้งเติบโตมาอย่างเก็บกด ความสัมพันธ์แบบชายหญิง ของพ่อกับแม่ ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวแสนสุข แต่การยึดติดกับภาพครอบครัวแสนสุข ทำให้พ่อรับการหายไปของแตงไม่ได้ และแม่รับการเป็นเกย์ของโต้งไม่ได้



ความสัมพันธ์ทั้งสองชุด ล้วนได้รับความเจ็บปวดอย่างเท่าเทียม และในครี่งหลังหนังก็ให้ตัวละครอีกสองตัวเข้ามามีผลกับความสัมพันธ์สองชุดนี้อีกครั้ง เมื่อจูน เข้าไปรับบทแตง ให้กรสบายใจ และ หญิงก้าวเข้ามาในความสัมพันธ์ของมิวกับโต้ง หนังแสดงให้เห็นว่าทั้ง จูน และหญิง เอง ก็ล้วนต้องเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ไม่สมหวัง จูนเป็นตัวแทนของคนจากครอบครัวชายหญิงที่หนี ครอบครัวมา ในขณะที่หญิง เป็นตัวแทนของเด็กสาวที่ไม่สมหวังจากความรัก เพราะเธอรักชายที่มีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ (ไม่เป็นครอบครัว )



จูนกับหญิงเป็นเสมือนตัวแทนของคนสองคนที่เจ็บปวดจากความสัมพันธ์ทั้งสองรูปแบบ แต่เป็นสองคนนี้เองที่ให้คนในความสัมพันธ์มองเห็นความบกพร่องในรูปความสัมพันธ์และยอมรับมัน ที่สำคัญคือทั้งจูนและหญิง ทำไปในฐานะความรักที่ปลอดพ้นจากการครอบครองเป็นเจ้าของ



ตั๋วใบนี้ไม่ได้มีสำหรับฉัน แม้เขาจะขายให้ทุกคนได้เท่ากัน แต่รถขบวนนี้ไม่มีที่ให้กับฉัน จึงไม่มีสิทธ์เดินทาง



ในโลกที่มีเพศ ความรักถูกจำกัดอยู่ในเรื่องของชายหญิง แต่ รักแห่งสยาม กลับกล้าหาญพอจะเล่าเรื่องรักของรักร่วมเพศ และที่น่าดีใจไปกว่านั้นคือการเลือกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ในฐานะที่รักร่วมเพศเป็นพลเมืองโลก !



โดยปกติ เราอาจแบ่งหนังเกย์กันคร่าวๆ เป็น หนังที่ทำให้เกย์กลายเป็นตัวละครไร้เพศ พิจารณาจาก หนังไทยอย่างคู่แรด สืบย้อนไปจนถึง สตรีเหล็ก หรือกระทั่งหนังไทยทั่วไป ที่จัดวางตัวละครรักร่วมเพศในฐานะตัวตลกตามพระ ตามนาง หนังเหล่านี้ทำให้ เกย์ /กระเทย / รักร่วมเพศ มีสถานะเป็นตัวละครไร้เพศ ที่เต็มไปด้วยสีสันจัดจ้านของการพลิกเพศสภาพของตัวเอง การแสดงออกแบบสุดโต่ง เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมแบบขายตรง ในขณะเดียวกัน เราก็อาจพบเจอหนังที่เลือก นำเสนอประเด็นเกย์ ทั้งในฐานะ ยูโทเปียของเกย์ อย่าง เพื่อน กูรักมึงว่ะ หรือ formula 17 หรือ แก๊งค์ชะนีกับอีแอบ กระทั่ง me myself ขอให้รักจงเจริญ หรือไม่ก็หนังแสดงภาพเจ็บปวดระทมทุกข์ของชาวเกย์ อย่าง เพลงสุดท้าย ไปจนถึง PHILADELPHIA หนังทั้งสองกลุ่มนี้ ล้วน ดึง -เกย์ – ออกมาจากโลกสามัญ ให้ -เกย์ โดดเด่น ทั้งในฐานะของคนไร้เพศที่สร้างสีสัน หรือ ฐานะ เกย์ คนชายขอบที่ไร้สิทธิ์ ไปจนถึงเกย์ในฐานะ บุคคลพิเศษ



หากในรักแห่งสยามกลับเลือกนำเสนอ ความรักของเกย์โดยแนบอิงอยู่กับโลกสามัญของชายหญิง โต้งกับมิว เป็นเพียงแค่ -รูปแบบหนึ่ง- ของ ความจริงในความรัก พวกเขารักกัน มีความสุข และความเจ็บปวด ระดับเดียวกันกับที่ กรรักสุนีย์ หรือหญิงกับมิว โดนัทกับโต้ง ฉากจูบในหนังเรื่องนำเสนอในความเงียบ โดยไม่เร้าอารมณ์เลยแม้แต่น้อย ไม่ต่างกับจูบแรกของเด็กสาวเด็กชาย โต้งกับมิว มีเลือดเนื้อในฐานะ มนุษย์ โดยไม่ใช่ มนุษย์ที่เป็นเกย์ ดังนั้นเอาเข้าจริงๆแล้ว หนังจึงไม่จำเป็นต้องประกาศตัวว่า เป็นหนังเกย์ เพราะความรักของเกย์ เป็นความรักที่สามัญไม่แตกต่างจากความรักชายหญิงทั่วไป หนังให้ความรักของเกย์เป็นเพียง อีกแบบจำลองหนึ่งของความรักเท่านั้น



ดังนั้น สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ ผลตอบรับที่คนดูมีต่อหนังเรื่องนี้ การที่หลายต่อหลายคนออกอาการรับไม่ได้ กับฉากจูบของโต้งกับมิว เลยเถิดไปถึงการกล่าวหาว่าหนังเรื่องนี้หลอกลวงให้คนเข้าไปดูหนังเกย์ สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า สังคมไทยมีมุมมองต่อเกย์อย่างไร เสียงสะท้อนอันแหลมคมนี้มีคุณค่ากว่า การสัมมนาเพศที่สามใดๆ เพราะเราเห็นแล้วว่า หลายคน รับไม่ได้ มีทั้งทัศนคติที่มองว่ารักร่วมเพศคือความเบี่ยงเบน หนังจะทำให้เกิดการเลียนแบบ หรืออะไรต่อมิอะไร กลายเป็นข้ออ้างที่ถูกยกขึ้นมาปิดบังความจริงที่ว่า เราไม่ให้พื้นที่รักร่วมเพศ เว้นแต่จะกลายเป็นตัวตลก หรือไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว (ดังที่เคยมีงานวัจัยว่า บาร์เกย์ เป็นสถานที่ส่วนตัว สำหรับรักร่วมเพศ มากกว่าจะทำหน้าที่เป็นบาร์จริงๆ )



เรื่องร้ายจะผ่านเพราะไม่มีคืนใดเป็นนิรันดร์



ที่น่าสนใจคือ จริงๆแล้ว การเป็นเกย์ อาจเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง สำหรับการอธิบายความสับสนของวัยรุ่นเท่านั้น



มะเดี่ยวกำกับเด็กวัยรุ่นได้ดี มาตั้งแต่ครั้งทำหนังสั้นอย่าง 2003 หรือ EARTHCORE เขาพูดถึงความเจ็บปวดและบาดแผลของการก้าวพ้นวัย ในหนังเหล่านั้น และในรักแห่งสยาม เขาพูดถึงมันอีกครั้ง ความโดดเดี่ยวของมิว หรือความสับสนของโต้ง ล้วนเป็นสิ่งที่เด็กวัยรุ่นในยุคปัจจุบันต้องประสบพบเจอไม่ใช่หรือ



หนังสะท้อนภาพการ -เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย- ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ความคาดหวังที่สุนีย์บอกกับมิว อาจฟังดูสามัญ แต่สำหรับโต้งกับมิว มันเป็นความกดดันมหาศาล ฉากสุดท้ายของหนังเมื่อโต้งตัดสินใจ บอกลามิว ในทางหนึ่งมันคือ การทำเพื่อแม่ ที่ทำให้โต้งต้องตัดสินใจเช่นนั้น เช่นเดียวกัน เรามองเห็นความโดดเดี่ยวเดียวดายของมิว ความยากลำบากของจูน ไปจนถึง ความเอาแต่ใจของโดนัท ทั้งหมดทั้งมวลเป็นภาพร่าง ความยากลำบากของการเป็นวัยรุ่น ที่ตัวละครในหนังเรื่องนี้ก้าวข้ามมา พวกเขาอาจผ่านมันได้ แต่แต่ละคนต้องพกพาบาดแผลเหล่านั้นติดตัวไปด้วยเช่นกัน



ถ้าบอกว่าเพลงนี้แต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหม



หนังเลือกใช้เพลง และสัญลักษณ์ อย่างน่าสนใจ แต่ละเพลงของหนังไม่ได้ถูกใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มอารมณ์ฟูมฟายหรือเพื่อขายของ แต่อย่างใด อย่างที่อาม่าบอกมิวตั้งแต่ต้น ว่าสักวันเขาจะใช้เพลงในการสื่อความหมาย มะเดี่ยวก็ใช้เพลงเหล่านี้สื่อความหมาย โลกโดดเดี่ยวของมิว อยู่ในเพลง ticket (ในทางหนึ่งมันเป็นเสมือนการพูดถึงความเจ็บปวดของการเป็นเกย์ ไม่ต่างจากการมีตั๋ว แต่ขึ้นรถไฟไม่ได้) เพลงนี้เป็นเพลงที่มิวเขียนเป็นเพลงแรก ก่อนที่จะเขียนเพลงรักเมื่อเขาเปิดรับเอาโต้งเข้ามาในชีวิต อย่าง รู้สึกบ้างไหม เพลงเพียงเธอ เพลงเก่าของ สุกัญญา มิเกล กลายเป็นเพลงที่บอกความหมายชัดเจนของโต้งกับมิว ก่อนที่ คืนอันเป็นนิรันดร์ เพลงที่เพราะที่สุด แต่ถูกใส่เข้ามาอย่างจงใจที่สุด นำพาตัวละครคลี่คลายไป และ กันและกัน กลายเป็นเพลงที่เป็นเสมือนบทสรุปเรื่องทั้งหมด การเติบโตของโต้งและมิว ความรักที่ยังคงอยู่ และรอยแผลที่จะติดตัวไปกับแต่ละคน



ดั่งในใจความบอกในกวี ตราบใดยังมีรักย่อมมีหวัง



รักแห่งสยามอาจมีปัญหาในแง่ที่ว่า หนังเรื่องนี้ ยังคงเป็นหนังเล่าเรื่อง ที่มีฐานะเป็นหนังอย่างจริงแท้ การวางประเด็น และคลี่คลายบทสรุปทำไปในฐานะภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ผลก็คือในฐานะของหนัง มันเล่าเรื่องได้อย่างสมจริงและทรงพลัง แต่ตัวละครในหนังยังคงความเป็น -ตัวละคร- ที่คาดเดาได้ ทุกการกระทำของแต่ละตัวละคร มีผลต่อประเด็นหลักของเรื่องหรือบทพูดสวยงามชนิด QUOTE ได้ ที่มาถึงแบบประดักประเดิด ในบางจังหวะ (แต่ไม่น่าเกลียดมากจนดูเหมือนจับยัดใส่ปาก เพียงแต่เรารู้สึกได้ ว่า คนทั่วไปไม่ได้พูดแบบนั้น) หรือสัญลักษณ์มากมายที่ปรากฏอย่างจงใจ ทั้งผึ้งที่คลานขึ้นมาจากแก้วน้ำ (ซึ่งมะเดี่ยว ทำบูชาครู คริสตอฟ คิชลอฟสกี้ ซึ่งจะว่าไปหนังเรื่องนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหนังของคิชลอฟสกี้มากทีเดียว หรือ สีของมิว และโต้ง การเลือกตุ๊กตาของโต้งในตอนท้าย หรือรูปถ่ายที่ไม่มีแตง ซึ่งตีความได้ทั้ง แตงที่ไม่อยู่แล้ว หรือแตงที่ไม่เคยไปไหน ในฐานะของคนที่ถ่ายรูปนั้นกับมือ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือ จมูกของตุ๊กตาไม้ ที่เข้ากันไม่ได้ ซึ่งหากจมูกที่หายไปคือลมหายใจที่สาบสูญ มันก็ไม่สามารถเชื่อมประสานให้กันได้ ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของโต้งและมิว



หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงหนังส่วนตัวของผู้กำกับ มันมีสารที่แข็งแรง มากพอที่จะต้องใช้วิธีการแบบ -หนัง หนัง – ในการเล่าเรื่อง และในขณะเดียวกัน มะเดี่ยวก็เข้าถึงในสิ่งที่ทำอย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ที่ได้จึงกลายเป็นหนังเล่าเรื่อง ที่มีประเด็นชัดเจน และทำได้ดีจนน่าทึ่ง



หนังได้การแสดงที่น่าประทับใจทั้งจากรุ่นใหญ่อย่าง สินจัย เปล่งพานิช และ ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี ที่แสดงความรู้สึกออกมาในระดับพอเหมาะพอเจาะ อาศัยเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อย แสดงความรู้สึกมากกว่าจะพูดออกมาจริงๆ หรือรุ่นกลางอย่าง พลอย ไลลา ที่ไม่โดนสินจัยฆ่าตายคาจอ ในฉากที่เธอต้องเข้าฉากร่วมกัน หรือรุ่นเล็กๆที่ทำได้ดีอย่างทั่วถึง



ความรักของโต้งและมิว ของสุนีย์และกร ของจูนกับครอบครัวของโต้ง หรือของหญิงกับมิวและโต้ง ล้วนไม่ได้จบลงอย่างดงาม ทุกคนไม่ได้กลับมาหวานชื่นในชั่วคืนเดียว หนังแสดงให้เห็นแล้วว่า ทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความเจ็บปวด และต้องก้าวข้ามมันไปให้พ้น คำ ตราบใดยังมีรักย่อมมีหวัง ไม่ได้หมายความแค่ การรักใครสักคนจะทำให้เรามีหวัง แต่มันหมายถึง -การมีความรัก- อยู่ในหัวใจ เมือเรายังรักได้ เจ็บเป็น ชีวิตของเราก็ยังมีความหวังพอจะไปข้างหน้า เช่นที่มิวพูดว่า ความรักมันทำให้เราเจ็บปวด (ทำให้เราเหงาเหี้ยๆ) แต่มันจะเป็นไปได้หรือที่เราจะอยู่ได้โดยไม่รักใครหรืออะไรเลย



หมายเหตุ : ตัวหนาทั้งหมดมาจาก เนื้อเพลงประกอบภาพยนตร์ รักแห่งสยาม