Saturday, September 16, 2006

สะเทือนใจ

สิ่งที่เรากำลังจะเราคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสะท้อนสะเทือนใจ

เวลาเที่ยง ในขณะที่เรานั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงอยู่ในรถซึ่งเราจอดติดไฟแดงอย่างสบายใจ เรากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่อยู่ในมือ สมองไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใด แล้วสายตาของเราก็หันไปเห็นผู้ชาย 2 คนที่นั่งอยู่ข้างถนนกับรถซาเล้งเก่า ๆ นี่คงเป็นเวลาอาหารของเขาเหมือนกัน ชายคนหนึ่งหยิบถุงแกงถุงเล็ก ๆ ออกมาจากถุงหูหิ้ว แล้วเขาก็หยิบข้าวเปล่าถุงใหญ่มาก 2 ถุง ที่เราคิดว่าเราคงกินได้ถึง 4 คน แกง 1 ถุงดูจะเป็นกับข้าวอย่างเดียวของเขาทั้งสองคน ดูเขาไม่ทุกข์ไม่ร้อนและมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความสุขเล็ก ๆ เพื่อคลายหิว เพื่อให้อิ่มท้องและเริ่มงานต่อ สิ่งที่เราเห็นมันทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจ ดูเราสิเลือกที่จะจ่ายแพง เพื่อแลกกับความอร่อย ตอบสนองความต้องการของลิ้น ในขณะที่ผู้ชายที่นั่งกินข้าวข้างถนนนั้นกินเพื่อประทังความหิว เรากินแฮมเบอร์เกอร์ฝืดคอขึ้นและหยุดกินในที่สุด ใจคิดทบทวนว่านี่เรากำลังฟุ่มเฟือยจนเป็นความเคยชินแล้วหรือ โดยเห็นว่าการกินอาหารคนเดียวมื้อละเกือบ200เป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือ แล้วคิดถึงพวกเขา ถ้าเขามีเงิน 200 เขาคงไม่คิดใช้เพียงแค่ซื้ออาหารมื้อเดียวคนเดียวเป็นแน่ เขาอาจจะยอมอดบุหรี่แล้วกับเงินไว้ซื้อกับข้าว ซื้อขนม กลับไปฝากลูกเมียตอนเลิกงาน เงิน 200 สำหรับเรา มันได้แค่อาหารขยะ 1 มื้อ แต่สำหรับเขา นั่นคงหมายถึงอาหาร1 มื้อของคนทั้งครอบครัว เรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เป็นความเคยชินของตัวเอง อาหารในแต่ละมื้อของเราเคยชินอยู่กับการต้องนั่งตามร้านอาหาร ต้องได้รับการบริการ มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน ตอนเราไปทำธุระเอารถไปซ่อม เราหิวข้าว เราเห็นร้านอาหารใหญ่ ๆ อยู่ 1 ร้านแถวนั้น เราตั้งใจว่าจะเข้าไปกินข้าวผัดสักจาน หน้าทางเข้าร้านอาหาร มีร้านรถเข็นขายอาหารตามสั่งอยู่ เรายืนตัดสินใจอยู่สักพัก กินก็กินวะ ขี้เกียจเดิน ในขณะที่กินอาหารจากร้านรถเข็นอยู่ จู่ ๆ ก็มีความคิดแวบหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี ใช่เลย!!! เราคิดถูกแล้วที่กินร้านรถเข็น เราจะไปอุดหนุนร้านใหญ่ ๆ แพง ๆ นั่นทำไม เอาเงินไปให้คนรวยทำไม นี่ไง แม่ค้ารถเข็นไม่ได้เอาเปรียบเรา ถ้าเรากินข้าวผัดในร้านอาหารเราต้องจ่าย 80 บาท + น้ำ 15 บาท เหลืออีก 5 บาทไม่ต้องทอน เท่ากับเราต้องจ่ายค่าอาหารธรรมดามื้อนั้น 100 บาท แต่เรากินกะเพราไก่ไข่ดาวแม่ค้ารถเข็นอร่อยเหมือนกันราคา 20 บาท ไข่ดาว 5 บาท น้ำฟรี = เราสามารถกินกะเพราไข่ดาวได้ถึง 4 จาน ในราคาเท่ากับข้าวผัดจานเดียวจากร้านอาหาร แน่นอนเรามีความสุข เราไม่ต้องจ่ายแพง แต่ที่มีความสุขมากกว่าคือได้อุดหนุนแม่ค้ารถเข็น แม่ค้าได้เงิน เงินที่จะเป็นรายได้ เป็นกำไร และเป็นทุนในวันต่อไป
ครั้งหนึ่งเราเคยได้เจอเจ้าสัว cp กับหลาน ๆ ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง สิ่งที่จำได้ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ได้มีโอกาสเห็นคนรวยระดับประเทศเหมือนเห็นดารา วันนั้นเจ้าสัวพาหลาน ๆ มาซื้อขนมในปั๊มน้ำมัน แม่ของเด็ก ๆ พูดบอกลูกว่า " ลื้อจะเอาอะไรก็ได้ เอากี่อย่างก็ได้ แต่ซื้อไปแล้วลื้อต้องกินให้หมด " คำพูดประโยคนั้นแหละคือสิ่งที่เตือนใจเราและเราไม่เคยลืม
เพื่อน ๆ คะ ถ้าใครกำลังเป็นเหมือนเรา ก่อนที่จะตัดสินใจใช้เงินอย่างที่ตัวเองเคยชิน คิดสักนิดดีไหม ช่วยกันเถอะ ประหยัดและเกื้อกูลกันเอง เปลี่ยนจากความฟุ่มเฟือยจนเคยชิน มาเป็นความประหยัดให้เคยชินดีกว่า พอเพียงและเพียงพอค่ะ

No comments: