1. นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับตัว 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่
3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4. หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากจัง
5. ระหว่างแปรงฟังถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบ จะทำให้ฟังสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ
6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากที่รสชาติธรรมดาก้อจะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก้อต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด
8. การขึ้นบันไดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไหร่
9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆ ทันทีที่เธอถามเค้าว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมค่ะ"
10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก
11. ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"
12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนเมื่อก่อน
13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟัง
14. อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15. เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ
16. ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งจะดูแทบไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้
17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง
18. ก่อนจะซื้ออะไรก้อตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันทำให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน
19. ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก้อจะดูเหมือนมีเยอะขึ้น
20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด
22. ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกแล้วจะดีขึ้น
23. แอบรักใครซักคน ยังไงก้อดีกว่าไม่เคยรู้ว่า ความรู้สึกรักมันเป็นยังไง
24. ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ก้อไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ
25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26. ถ้าเธอเช็ดกระจกบานที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมเธอจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม อาจไม่สนุก แต่ก้อมีประโยชน์แฝงอยู่บ้าง
28. วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายนะ
29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่านมา ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน คุณจะเก็บเงินเพิ่มขึ้นได้อีกหลายบาท
Thursday, September 28, 2006
Thursday, September 21, 2006
ยาย & หลาน (Joke)
ยาย..ยาย หา? ยายว่างไหมเนี่ย? ว่าง คุยด้วยคนนะยาย
เอาสิหลานเอ้ย..นั่งก่อนๆ
เอ่อ....ยายก็ลุกขึ้นสิ
ทำไมยายต้องลุกขึ้นด้วยล่ะ
ผมจะได้นั่งก่อน ยาย..
หา...
ยายปีนี้ดูแก่มากเลยนะยาย...อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ..?
เมื่อ20ปีที่แล้วยายอายุ50
ไม่รู้ว่าตอนนี้มันยังจะ50อยู่หรือป่าว
ไม่ได้นับมานานแล้ว
โห...ยาย
ป่านนี้มันไม่เหลือ9ขวบแล้วหรอ..แล้วลูกเต้าไม่มีหรอยายถึงมานั่งคนเดียวเนี่ย
มี..
อ้าว..แล้วทำไมเค้าไม่มาด้วยอ่ะ
มีลูกชายสองคน คนหนึ่งอยู่ระยอง
คนหนึ่งอยู่เชียงใหม่โน่น
ไอ้คนหนึ่งมันจะให้ยายไปอยู่เชียงใหม่...อีกคนหนึ่งจะให้ยายไปอยู่ระยอง
ตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้จะไปอยู่กะใครเนี่ย?
โอ้โฮ..ยายนี่โชคดีจังเลย ลูกแย่งกันเลี้ยง
โชคดีกะผีอะไรล่ะ...ก็ไอ้คนที่อยู่ระยอง..มันจะให้ไปอยู่เชียงใหม่
ไอ้คนที่อยู่เชียงใหม่..มันจะให้ไปอยู่ระยอง
เออ..ยาย..อย่าไปคิดมากเลย
อายุปูนนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ก็ถือว่าโชคดีแล้ว
โอ้ย..แข็งแรงที่ไหนกัน ตอนนี้กำลังแย่เลยว่ะ
แย่ที่ไหนยาย..ก็เห็นแข็งแรงดี
เดี๋ยวนี้ยายมีอาการแปลกๆ เช่น
นั่งๆอยู่เนี่ย..ถ้าลุกขึ้นปุ๊บ..มันจะยืนทุกทีเลยว่ะ
เป็นอะไรไม่รู้
ลุกแล้วยืนน่ะมันธรรมดานะยาย..ยายเคยเห็นคนล้มทั้งยืนมั้ยยาย..?
ไม่เคยว่ะ
อยากเห็นมั้ย..?
อย่าเลย..ยายแก่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นอะไร
อ้าว..เป็นอะไรไปหรอยาย..?
สงสัยจะแก่ตัวมาก นั่งนานๆแล้วมันจะมีปัญหา.
มันเป็นยังงัยหรอยาย..?
อีขาซ้ายนี่มัน...ชา
แล้วขาขวาล่ะยาย..?
กาแฟว่ะ..
ผมว่ายายต้องรีบไปหาหมอแล้วล่ะ..
ทำไมล่ะ..?
ถ้าปล่อยไว้นานๆมันจะเป็นโอวัลตินนะยาย
อืม..แล้วพอยืนนานๆนะ..ขาซ้ายมันจะปวด
โอ้ย..เป็นเรื่องธรรมดายาย อายุมากแล้วนี่ มันก็ปวดสิ
ไม่จริงหรอก..ขาข้างขวานี่ก็อายุเท่ากัน..ไม่เห็นมันปวดละ..?
เออ..นี่หลานรู้ป่าวมียาฝรั่งตัวหนึ่งชื่อไวอากร้า
ถ้าคนที่นกเขาไม่ขันเป็นมะเขือเผาอ่อนปวกเปียกนี่
เม็ดเดียว
กินก่อนนอนภายใน20นาทีเท่านั้นได้เรื่องเลย..แข็งโป๊กเลย
ยายรู้ได้งัย.?
ยายลองมาแล้ว..วันก่อนแอบไปซื้อมาเม็ดนึง
จะเอามาให้ตากิน
แต่ยายไม่กล้าบอกตาตรงๆ เพราะคนที่นกเขาไม่ขันนี่ เขาจะอาย
จะรู้สึกว่าเสียเชิงชาย
ยายเลยนั่งคิดว่า เอ จะเอาให้ตากินยังงัยดี
พอดีวันนั้นแกอยากกินผัดไท ยายนึกออกเลย
ยายเลยเอายาบดจนละเอียดแล้วโรยในจานผัดไท ยกไปให้ตากิน
พอวางบนโต๊ะเสร็จยายก็แอบดู
เป็นงัยยาย..ได้ผลมั้ย..?
ได้ผลกะผีอะไรล่ะตามันไม่ยอมกินผัดไท
อ้าว..ทำไมล่ะยาย..?
ก็เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดไทมันแข็งโด่ทั้งจานเลย???
แล้วตาเป็นงัยบ้างล่ะครับ...สุขภาพแข็งแรงดีไหม..?
เดี๋ยวนี้แย่ว่ะ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง
อ้าว..ทำไมล่ะยาย
วันก่อนบ่นว่าปวดหัว..มีไอนิดหน่อย..ยายเลยให้ไปหาหมอ
หมอเล่นซะหมดแรงไปเลย....
เอ๊ะ..หมอเค้าทำไร..ตาถึงหมดแรง??
หมอมันชุ่ยว่ะ..พวกหมอเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้..พอตรวจเสร็จให้ยามากิน
มันเขียนฉลากยาหวัดๆ เช้าเม็ด..กลางวันเม็ด..เย็นเม็ด..
ตาแกหูตาไม่ค่อยดี..พอเขียนหวัดๆแกอ่านไม่ชัด
เห็นม.ม้าเข้าใจว่าเป็นย.ยักษ์..ก็ล่อซะสามเวลาเช้า..กลางวัน..เย็นเลย
ตอนนี้นอนแผ่หราลิ้นห้อยอยู่ที่บ้าน
อ้าว..แล้วทำไมยายไม่บอกล่ะว่าอ่านผิด
ยายบอกแล้วมันไม่เชื่อ...มันไม่เชื่อยาย..แต่มันเชื่อหมอ
เมื่อเช้านี้เห็นว่าไปหาหมอมาอีกแล้ว
หมอว่างัยล่ะยาย..?
มันบอกหมอว่า..พอกินยาหมอ..ไม่รู้เป็นไรมันหมดแรง..อาการไข้ก็ยังไม่ดี
ขึ้นหมอถามว่า
เพิ่มก่อนนอนอีกสักครั้งไหม???? หลานเอ้ย...
จ้ะยาย...คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน จ้ะยาย
หลานเอ้ย...คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน จ้ะยาย
หลานเอ้ย..คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน....
โอ้ยรู้แล้ว...พูดซ้ำซากอยู่นั่นแหละรำคาญ
ไอ้หลาน....เอ็งนี่ช่างไม่มีความอดทนเอาซะเลย
นี่เอ็งเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมมั้ย
เชื่อสิยาย เขาบอกว่า...
ถ้าเราฆ่าไก่...เราจะเกิดเป็นไก่
ถ้าเราฆ่าวัว...เราจะเกิดเป็นวัว
ถ้าเราฆ่านก...เราจะเกิดเป็นนก
ยาย....เห็นทีผมจะต้องฆ่าคนซะแล้วยาย
เออ..ยาย..ฉันจะเปิดร้านใหม่ล่ะยาย..ยายช่วยไปอุดหนุนฉันหน่อยนะยาย..ฉันอยากให้
ยายไปอุดหนุน
เป็นคนแรกเลย...
โอ้ยไม่มีปัญหา..เรามันคนกันเอง
เออ..ว่าแต่..แกจะเปิดร้านอะไรล่ะ???
ล ร้านขายโรงศพจ้ะยาย
อ้ายเวร...ปากไม่เป็นมงคล..เอ็งจำไว้เลย
ข้าจะไม่เหยียบเข้าร้านเอ็งจนวันตาย..
ถ้าถึงวันตายแล้วอย่าลืมมาอุดหนุนนะยาย
นี่ๆ..ยายก็มีหลานชายอยู่คนหนึ่ง...กำลังเรียน....เป็นเด็กดีเหลือเกิน...กตัญญ
...เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดยาย
....พอยายจะเอาชามไปล้าง...หลานชายมันเข้ามาห้าม..มันบอกว่า"
ยาย...วันนี้เป็นวันเกิดยาย....ยายอย่าล้างชามเลย.."
แหม..เป็นเด็กดีจิงๆเลยนะหลานยายเนี่ย
เออ...มันบอกกองเอาไว้ก่อน...พรุ่งนี้ค่อยล้าง
ยายอยู่นานไม่ได้หรอกไอ้หนู อ้าว...ทำไมล่ะยาย???
ต้องรีบไปล้างจาน?? งั้นลาก่อนจ้ะยาย ........
เอาสิหลานเอ้ย..นั่งก่อนๆ
เอ่อ....ยายก็ลุกขึ้นสิ
ทำไมยายต้องลุกขึ้นด้วยล่ะ
ผมจะได้นั่งก่อน ยาย..
หา...
ยายปีนี้ดูแก่มากเลยนะยาย...อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ..?
เมื่อ20ปีที่แล้วยายอายุ50
ไม่รู้ว่าตอนนี้มันยังจะ50อยู่หรือป่าว
ไม่ได้นับมานานแล้ว
โห...ยาย
ป่านนี้มันไม่เหลือ9ขวบแล้วหรอ..แล้วลูกเต้าไม่มีหรอยายถึงมานั่งคนเดียวเนี่ย
มี..
อ้าว..แล้วทำไมเค้าไม่มาด้วยอ่ะ
มีลูกชายสองคน คนหนึ่งอยู่ระยอง
คนหนึ่งอยู่เชียงใหม่โน่น
ไอ้คนหนึ่งมันจะให้ยายไปอยู่เชียงใหม่...อีกคนหนึ่งจะให้ยายไปอยู่ระยอง
ตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้จะไปอยู่กะใครเนี่ย?
โอ้โฮ..ยายนี่โชคดีจังเลย ลูกแย่งกันเลี้ยง
โชคดีกะผีอะไรล่ะ...ก็ไอ้คนที่อยู่ระยอง..มันจะให้ไปอยู่เชียงใหม่
ไอ้คนที่อยู่เชียงใหม่..มันจะให้ไปอยู่ระยอง
เออ..ยาย..อย่าไปคิดมากเลย
อายุปูนนี้ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ก็ถือว่าโชคดีแล้ว
โอ้ย..แข็งแรงที่ไหนกัน ตอนนี้กำลังแย่เลยว่ะ
แย่ที่ไหนยาย..ก็เห็นแข็งแรงดี
เดี๋ยวนี้ยายมีอาการแปลกๆ เช่น
นั่งๆอยู่เนี่ย..ถ้าลุกขึ้นปุ๊บ..มันจะยืนทุกทีเลยว่ะ
เป็นอะไรไม่รู้
ลุกแล้วยืนน่ะมันธรรมดานะยาย..ยายเคยเห็นคนล้มทั้งยืนมั้ยยาย..?
ไม่เคยว่ะ
อยากเห็นมั้ย..?
อย่าเลย..ยายแก่แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นอะไร
อ้าว..เป็นอะไรไปหรอยาย..?
สงสัยจะแก่ตัวมาก นั่งนานๆแล้วมันจะมีปัญหา.
มันเป็นยังงัยหรอยาย..?
อีขาซ้ายนี่มัน...ชา
แล้วขาขวาล่ะยาย..?
กาแฟว่ะ..
ผมว่ายายต้องรีบไปหาหมอแล้วล่ะ..
ทำไมล่ะ..?
ถ้าปล่อยไว้นานๆมันจะเป็นโอวัลตินนะยาย
อืม..แล้วพอยืนนานๆนะ..ขาซ้ายมันจะปวด
โอ้ย..เป็นเรื่องธรรมดายาย อายุมากแล้วนี่ มันก็ปวดสิ
ไม่จริงหรอก..ขาข้างขวานี่ก็อายุเท่ากัน..ไม่เห็นมันปวดละ..?
เออ..นี่หลานรู้ป่าวมียาฝรั่งตัวหนึ่งชื่อไวอากร้า
ถ้าคนที่นกเขาไม่ขันเป็นมะเขือเผาอ่อนปวกเปียกนี่
เม็ดเดียว
กินก่อนนอนภายใน20นาทีเท่านั้นได้เรื่องเลย..แข็งโป๊กเลย
ยายรู้ได้งัย.?
ยายลองมาแล้ว..วันก่อนแอบไปซื้อมาเม็ดนึง
จะเอามาให้ตากิน
แต่ยายไม่กล้าบอกตาตรงๆ เพราะคนที่นกเขาไม่ขันนี่ เขาจะอาย
จะรู้สึกว่าเสียเชิงชาย
ยายเลยนั่งคิดว่า เอ จะเอาให้ตากินยังงัยดี
พอดีวันนั้นแกอยากกินผัดไท ยายนึกออกเลย
ยายเลยเอายาบดจนละเอียดแล้วโรยในจานผัดไท ยกไปให้ตากิน
พอวางบนโต๊ะเสร็จยายก็แอบดู
เป็นงัยยาย..ได้ผลมั้ย..?
ได้ผลกะผีอะไรล่ะตามันไม่ยอมกินผัดไท
อ้าว..ทำไมล่ะยาย..?
ก็เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดไทมันแข็งโด่ทั้งจานเลย???
แล้วตาเป็นงัยบ้างล่ะครับ...สุขภาพแข็งแรงดีไหม..?
เดี๋ยวนี้แย่ว่ะ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง
อ้าว..ทำไมล่ะยาย
วันก่อนบ่นว่าปวดหัว..มีไอนิดหน่อย..ยายเลยให้ไปหาหมอ
หมอเล่นซะหมดแรงไปเลย....
เอ๊ะ..หมอเค้าทำไร..ตาถึงหมดแรง??
หมอมันชุ่ยว่ะ..พวกหมอเดี๋ยวนี้ไว้ใจไม่ค่อยได้..พอตรวจเสร็จให้ยามากิน
มันเขียนฉลากยาหวัดๆ เช้าเม็ด..กลางวันเม็ด..เย็นเม็ด..
ตาแกหูตาไม่ค่อยดี..พอเขียนหวัดๆแกอ่านไม่ชัด
เห็นม.ม้าเข้าใจว่าเป็นย.ยักษ์..ก็ล่อซะสามเวลาเช้า..กลางวัน..เย็นเลย
ตอนนี้นอนแผ่หราลิ้นห้อยอยู่ที่บ้าน
อ้าว..แล้วทำไมยายไม่บอกล่ะว่าอ่านผิด
ยายบอกแล้วมันไม่เชื่อ...มันไม่เชื่อยาย..แต่มันเชื่อหมอ
เมื่อเช้านี้เห็นว่าไปหาหมอมาอีกแล้ว
หมอว่างัยล่ะยาย..?
มันบอกหมอว่า..พอกินยาหมอ..ไม่รู้เป็นไรมันหมดแรง..อาการไข้ก็ยังไม่ดี
ขึ้นหมอถามว่า
เพิ่มก่อนนอนอีกสักครั้งไหม???? หลานเอ้ย...
จ้ะยาย...คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน จ้ะยาย
หลานเอ้ย...คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน จ้ะยาย
หลานเอ้ย..คนเราจะประสบความสำเร็จต้องอดทน....
โอ้ยรู้แล้ว...พูดซ้ำซากอยู่นั่นแหละรำคาญ
ไอ้หลาน....เอ็งนี่ช่างไม่มีความอดทนเอาซะเลย
นี่เอ็งเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมมั้ย
เชื่อสิยาย เขาบอกว่า...
ถ้าเราฆ่าไก่...เราจะเกิดเป็นไก่
ถ้าเราฆ่าวัว...เราจะเกิดเป็นวัว
ถ้าเราฆ่านก...เราจะเกิดเป็นนก
ยาย....เห็นทีผมจะต้องฆ่าคนซะแล้วยาย
เออ..ยาย..ฉันจะเปิดร้านใหม่ล่ะยาย..ยายช่วยไปอุดหนุนฉันหน่อยนะยาย..ฉันอยากให้
ยายไปอุดหนุน
เป็นคนแรกเลย...
โอ้ยไม่มีปัญหา..เรามันคนกันเอง
เออ..ว่าแต่..แกจะเปิดร้านอะไรล่ะ???
ล ร้านขายโรงศพจ้ะยาย
อ้ายเวร...ปากไม่เป็นมงคล..เอ็งจำไว้เลย
ข้าจะไม่เหยียบเข้าร้านเอ็งจนวันตาย..
ถ้าถึงวันตายแล้วอย่าลืมมาอุดหนุนนะยาย
นี่ๆ..ยายก็มีหลานชายอยู่คนหนึ่ง...กำลังเรียน....เป็นเด็กดีเหลือเกิน...กตัญญ
...เมื่อวานนี้เป็นวันเกิดยาย
....พอยายจะเอาชามไปล้าง...หลานชายมันเข้ามาห้าม..มันบอกว่า"
ยาย...วันนี้เป็นวันเกิดยาย....ยายอย่าล้างชามเลย.."
แหม..เป็นเด็กดีจิงๆเลยนะหลานยายเนี่ย
เออ...มันบอกกองเอาไว้ก่อน...พรุ่งนี้ค่อยล้าง
ยายอยู่นานไม่ได้หรอกไอ้หนู อ้าว...ทำไมล่ะยาย???
ต้องรีบไปล้างจาน?? งั้นลาก่อนจ้ะยาย ........
ภาพวาดกับชีวิต
สมัยเด็กๆ ครูสอนศิลปะท่านหนึ่งสอนฉันเสมอว่า
เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ
เราห้ามใช้ยางลบ
ตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่
รู้เพียงแต่ว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว
ฉันก็อยากแก้ให้มันตรงสวย
แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น
ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ
สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการ
เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน
แต่ฉันเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป
ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆนั้นเป็นแว่นตาแทน
แม้ตอนนั้นฉันจะไม่เข้าใจว่า
ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ
และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน
แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า
ฉันสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ
และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า
สิ่งที่ครูสอนวันนั้น
แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ
การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน
และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น
และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆได้ก็คือ
การที่ฉันเข้าใจว่า
ธรรมชาติของความผิดพลาด คือการที่มันเกิดขึ้นแล้วจะคงอยู่อย่างถาวร
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด
แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว
การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้
อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะทำได้ก็คือ
รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ
และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น
ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม
แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น
และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่
แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ
ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง
ราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง
เพราะถึงอย่างไร ฉันเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่
ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
เวลาเราใช้ดินสอวาดภาพ
เราห้ามใช้ยางลบ
ตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของครูสักเท่าไหร่
รู้เพียงแต่ว่าเวลาฉันวาดภาพแล้วเส้นมันบิดเบี้ยว
ฉันก็อยากแก้ให้มันตรงสวย
แต่ทุกครั้งที่ฉันหยิบยางลบขึ้นมาเพื่อจะลบภาพนั้น
ครูของฉันก็จะเตือนถึงกติกานั้นเสมอ
สุดท้ายฉันจึงเลือกใช้วิธีต่อเติมภาพๆ นั้นไปตามจินตนาการ
เช่นถ้าฉันตั้งใจวาดรูปหน้าคน
แต่ฉันเผลอวาดดวงตากลมโตเกินไป
ฉันก็จะใช้วิธีเปลี่ยนตากลมๆนั้นเป็นแว่นตาแทน
แม้ตอนนั้นฉันจะไม่เข้าใจว่า
ทำไมฉันจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ
และแม้ฉันจะไม่เคยคิดวาดรูปหน้าคนใส่แว่นตามาก่อน
แต่ฉันก็ได้รูปหน้าคนตามที่ต้องการ แถมยังภูมิใจว่า
ฉันสามารถวาดภาพๆนั้นด้วยความมั่นใจ
และไม่ต้องใช้ยางลบลบภาพเลยสักครั้ง
เวลาผ่านไป ฉันโตขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า
สิ่งที่ครูสอนวันนั้น
แท้จริงแล้วมันปลูกฝังนิสัยหนึ่งให้กับฉัน นั่นคือ
การเข้าใจธรรมชาติของความผิดพลาด
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทุกคน
และในชีวิตหนึ่งนี้ก็มีหลายครั้งที่ฉันได้พบมันโดยไม่ตั้งใจ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันยอมรับความผิดพลาดเหล่านั้น
และรวบรวมสติเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆได้ก็คือ
การที่ฉันเข้าใจว่า
ธรรมชาติของความผิดพลาด คือการที่มันเกิดขึ้นแล้วจะคงอยู่อย่างถาวร
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ยางลบ ลบความผิดพลาด
แต่ฉันจำเป็นต้องใช้สมองต่อเติมแก้ไขภาพวาดของฉันให้สมบูรณ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้น ถ้าความผิดพลาดมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว
การที่เราจะมานั่งร้องห่มร้องไห้
อ้อนวอนขอแหกกฎเพื่อใช้ยางลบกลับไปลบแก้ไขมันนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งเดียวที่จะทำได้ก็คือ
รู้จักพลิกแพลงแก้ไขสิ่งเหล่านั้นด้วยสติ
และวาดภาพของตัวเองต่อไปด้วยความระแวดระวังมากขึ้น
ทุกคนมีดินสอหนึ่งแท่งเพื่อจะวาดภาพชีวิตของเราให้สวยงาม
แต่เราไม่มียางลบสักก้อนที่จะเอาไปลบสิ่งที่เราทำผิดพลาดมาแล้วได้
ดังนั้นเราต้องตั้งใจ และมีสติทุกครั้งที่ลากเส้น
และถึงแม้ภาพที่เราวาดจะออกมาไม่เหมือนกับภาพที่เราฝันไว้สักเท่าไหร่
แต่มันก็มาจากมือของเรา เราควรจะภูมิใจกับมันได้เสมอ
ไม่ต้องกลัวหรอก แม้จะรู้ดีว่าสักวันหนึ่ง
ราอาจลากเส้นบิดเบี้ยวไปบ้าง
เพราะถึงอย่างไร ฉันเชื่อว่า
ถ้าสมองและหัวใจของเราทำงานอย่างเต็มที่
ภาพชีวิตของเราก็งดงามได้โดยไม่ต้องใช้ยางลบ
A Minute
They say it takes a minute to find a special person, an hour to appreciate them, a day to love them, but then an entire life to forget them.
15 Things You Probably Never Knew or Thought About
1. At least 5 people in this world love you so much they would die for you.
2. At least 15 people in this world love you in some way.
3. The only reason anyone would ever hate you is because they want to be just like you.
4. A smile from you can bring happiness to anyone, even if they don't like you.
5. Every night, SOMEONE thinks about you before they go to sleep.
6. You mean the world to someone.
7. If not for you, someone may not be living.
8. You are special and unique.
9. Someone that you don't even know exists loves you.
10. When you make the biggest mistake ever, something good comes from it.
11. When you think the world has turned its back on you, take a look: you most likely turned your back on the world.
12. When you think you have no chance of getting what you want, you probably won't get it, but if you believe in yourself, probably, sooner or later, you will get it.
13. Always remember the compliments you received. Forget about the rude remarks.
14. Always tell someone how you feel about them; you will feel much better when they know.
15. If you have a great friend, take the time to let them know that they are great.
2. At least 15 people in this world love you in some way.
3. The only reason anyone would ever hate you is because they want to be just like you.
4. A smile from you can bring happiness to anyone, even if they don't like you.
5. Every night, SOMEONE thinks about you before they go to sleep.
6. You mean the world to someone.
7. If not for you, someone may not be living.
8. You are special and unique.
9. Someone that you don't even know exists loves you.
10. When you make the biggest mistake ever, something good comes from it.
11. When you think the world has turned its back on you, take a look: you most likely turned your back on the world.
12. When you think you have no chance of getting what you want, you probably won't get it, but if you believe in yourself, probably, sooner or later, you will get it.
13. Always remember the compliments you received. Forget about the rude remarks.
14. Always tell someone how you feel about them; you will feel much better when they know.
15. If you have a great friend, take the time to let them know that they are great.
อยากทำอะไร ทำเลย จะได้ไม่เสียใจทีหลัง
อยากทำอะไร ทำไปเลย ถ้ามันไม่ได้เดือดร้อยใครนะ ไม่กระทบกับหน้าที่ที่ทำอยู่
พรุ่งนี้เราจะเป็นยังไงใครจะรู้ เพราะงั้น อยากทำอะไรก็ทำไปเลย ถ้ามันทำให้เรามีความสุขนะ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง อย่างน้อยเราก็ได้ทำดีที่สุดแล้ว
พรุ่งนี้เราจะเป็นยังไงใครจะรู้ เพราะงั้น อยากทำอะไรก็ทำไปเลย ถ้ามันทำให้เรามีความสุขนะ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง อย่างน้อยเราก็ได้ทำดีที่สุดแล้ว
ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ซึ่งมีความหมายว่า ข้าพเจ้าขอยึดมั่น พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ศีล 5
1. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามฆ่าสัตว์
2. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามลักทรัพย์
3. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามประพฤติผิดในกาม
4. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามพูดปด
5. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามดื่มของมึนเมา
2. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามลักทรัพย์
3. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามประพฤติผิดในกาม
4. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามพูดปด
5. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ห้ามดื่มของมึนเมา
หลักการประชาสัมพันธ์เบื้องต้น
เมื่อพูดถึงคำว่า "การประชาสัมพันธ์" เชื่อว่าทุกท่านคงจะคุ้นเคยกับคำนี้เป็นอย่างดี เพราะคำๆนี้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายไปทุกวงการ ไม่ว่าจะนำมาใช้กับสินค้า งานกิจกรรม หรืองานโครงการต่างๆ ฯลฯ และมักจะถูกอ้างถึงเสมอเมื่องานนั้นๆ ประสบความสำเร็จ หรือไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม เช่น กรณีที่งานนั้นๆไม่ประสบความสำเร็จ ก็มักจะพูดเป็นเชิงออกตัวหรือแก้ตัวก็ตาม คือ งานนี้ขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี หรือกรณีที่งานนั้นๆประสบความสำเร็จ ก็มักจะพูดว่า งานนี้เขามีการประชาสัมพันธ์อย่างดี อะไรทำนองนี้
ถ้าอย่างนั้น "การประชาสัมพันธ์คืออะไรกันแน่?"
ถ้าจะอธิบายแบบกำปั้นทุบดิน ก็อาจจะอธิบายได้ว่า "การประชาสัมพันธ์คือการติดต่อสื่อสารข่าวสารไปยังกลุ่มบุคคลเป้าหมายให้รับรู้ ไม่ว่าจะสื่อสารในรูปแบบอะไรก็ตาม" เพราะรากคำของคำๆนี้มาจากภาษาอังกฤษว่า "Public Relations" นั่นเอง
ใครที่เคยเรียนความรู้เรื่องการตลาดเบื้องต้น จะพบคำ 4 คำ หรือ 4 Ps คือ
Product
Prize
Place และตัวสุดท้ายคือ
Promotions ตัวสุดท้ายนี้คือ การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์นั่นเอง
คำสองคำนี้ก็สร้างความสับสนให้คนนอกวงการเข้าใจผิดๆกันมานานคือ เข้าใจว่า "การโฆษณา" กับ "การประชาสัมพันธ์" คืออันเดียวกัน แต่ความเป็นจริงไม่ใช่
แม้กระทั่งการดำเนินงานก็แตกต่างกัน ซึ่งจะพูดถึงในตอนต่อไป
ผู้ที่สนใจจะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง? เป็นคำถามที่ผู้สนใจจะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์เป็นอาชีพ หรือทำเป็นครั้งคราวแบบสมัครเล่นมักจะไต่ถามผู้ที่มีประสบการณ์ด้านนี้เป็นประจำ
คุณสมบัติอันดับแรกถือเป็นคุณสมบัติภาคบังคับคือ คุณต้องสนใจและรักที่จะทำงานด้านนี้ ค้นหาตัวเองให้พบว่าคุณเป็นผู้ที่สนใจจะพบปะกับผู้คนทั่วไปหรือไม่? มีมนุษยสัมพันธ์อยู่ในระดับไหน? มีความสนใจที่จะเรียนรู้เรื่องต่างๆรอบๆตัวหรือไม่?
หากคุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติดังกล่าวมาพอสมควร ไม่ต้องถึงกับดีเลิศสมบุรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีใครในโลกนี้ดีสมบูรณ์แบบหรอก หากคุณเรียนมาทางด้านนิเทศศาสตร์โดยตรง ก็นับว่าคุณได้เปรียบเพราะรู้เรื่องราวของการประชาสัมพันธ์มาอย่างดีในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงภาคทฤษฏีก็ตามเถอะ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากคุณจบปริญญาตรีจะสาขาอะไรคุณก็สามารถทำงานด้านนี้ได้ดี เพราะอย่าลืมว่าคุณมีคุณสมบัติภาคบังคับแล้วคือ มีความสนใจและมีความรักในงานด้านนี้เป็นทุนอยู่แล้ว
จากนี้คุณก็ศึกษาหาความรู้ด้านนี้เพิ่มเติม มีหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้คุณอ่านและเรียนรู้อยู่จำนวนมากพอสมควร
ต่อจากนี้ก็มาพิจารณาว่าคุณสนใจจะทำงานการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานอะไร งานเกี่ยวกับธนาคาร บริษัทประกันภัย โรงแรมชั้นหนึ่งระดับ 4 ดาวขึ้นไป ห้างสรรพสินค้า บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าทั่วๆไป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ หรือสนใจงานด้านองค์กรการกุศล โครงการกิจกรรมทางสังคมสงเคราะห์ เมื่อตัดสินใจได้หน่วยงานที่จะทำแล้ว ก็ต้องศึกษาเรียนรู้โครงสร้างของหน่วยงานนั้นๆให้ชัดเจน เพื่อนำมาวางแผนงานการประชาสัมพันธ์
เพียงเท่านี้คุณก็ยังทำงานประชาสัมพันธ์ไม่ได้ เพราะคุณจะต้องศึกษาหาความรู้อื่นๆเพิ่มเติมอีก เช่นความรู้เรื่องสื่อมวลชน ความรู้ด้านการตลาดเบื้องต้น เพราะนักประชาสัมพันธืจะรู้เรื่องการประชาสัมพันธ์อย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะประกอบอาชีพนี้ให้เจริญรุ่งเรือง และสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ในสนามแห่งการทำงานจริง
เบื้องต้นขอฝากคาถา 4 คำนี้ไว้เพื่อเตือนตนเองคือ สุ.จิ.ปุ.ลิ. ดูเหมือนจะคุ้นๆใช่ใหม?
สุ. ตือโสต หายถึงการเป็นนักฟังที่ดี รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเสมอ
จิ. คือจินตนาการ หมายถึงต้องเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรร รับฟังเรื่องอะไรแล้วต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบ อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม
ปุ. คือปุจฉา หมายถึงฟังเรื่องอะไรแล้วไม่เข้าใจต้องไต่ถามให้เข้าใจ อย่าทำเป็นอวดดีว่ารู้
ลิ. คือลิขิต หมายถึงการจด การบันทึกเรื่องที่น่าสนใจ หรือมีความสำคัญ โบราณกล่าวว่าจดดีกว่าจำ
หากนักประชาสัมพันธ์มือใหม่หัดขับ มีคาถา 4 คำนี้ไว้ในการทำงาน ก็จะมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่แค่นี้ไม่พออีกต้องมีความรอบรู้อีกหลายเรื่อง ไว้อ่านตอนหน้าต่อ
หลักการประชาสัมพันธ์เบื้องต้น1 : http://www.pantip.com/tech/article/article.php?id=114
หลักการประชาสัมพันธ์เบื้องต้น2 : http://www.pantip.com/tech/article/article.php?id=118
หรือว่าเราเหมาะกับงานประชาสัมพันธ์วะ???
ถ้าอย่างนั้น "การประชาสัมพันธ์คืออะไรกันแน่?"
ถ้าจะอธิบายแบบกำปั้นทุบดิน ก็อาจจะอธิบายได้ว่า "การประชาสัมพันธ์คือการติดต่อสื่อสารข่าวสารไปยังกลุ่มบุคคลเป้าหมายให้รับรู้ ไม่ว่าจะสื่อสารในรูปแบบอะไรก็ตาม" เพราะรากคำของคำๆนี้มาจากภาษาอังกฤษว่า "Public Relations" นั่นเอง
ใครที่เคยเรียนความรู้เรื่องการตลาดเบื้องต้น จะพบคำ 4 คำ หรือ 4 Ps คือ
Product
Prize
Place และตัวสุดท้ายคือ
Promotions ตัวสุดท้ายนี้คือ การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์นั่นเอง
คำสองคำนี้ก็สร้างความสับสนให้คนนอกวงการเข้าใจผิดๆกันมานานคือ เข้าใจว่า "การโฆษณา" กับ "การประชาสัมพันธ์" คืออันเดียวกัน แต่ความเป็นจริงไม่ใช่
แม้กระทั่งการดำเนินงานก็แตกต่างกัน ซึ่งจะพูดถึงในตอนต่อไป
ผู้ที่สนใจจะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง? เป็นคำถามที่ผู้สนใจจะทำงานด้านการประชาสัมพันธ์เป็นอาชีพ หรือทำเป็นครั้งคราวแบบสมัครเล่นมักจะไต่ถามผู้ที่มีประสบการณ์ด้านนี้เป็นประจำ
คุณสมบัติอันดับแรกถือเป็นคุณสมบัติภาคบังคับคือ คุณต้องสนใจและรักที่จะทำงานด้านนี้ ค้นหาตัวเองให้พบว่าคุณเป็นผู้ที่สนใจจะพบปะกับผู้คนทั่วไปหรือไม่? มีมนุษยสัมพันธ์อยู่ในระดับไหน? มีความสนใจที่จะเรียนรู้เรื่องต่างๆรอบๆตัวหรือไม่?
หากคุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติดังกล่าวมาพอสมควร ไม่ต้องถึงกับดีเลิศสมบุรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีใครในโลกนี้ดีสมบูรณ์แบบหรอก หากคุณเรียนมาทางด้านนิเทศศาสตร์โดยตรง ก็นับว่าคุณได้เปรียบเพราะรู้เรื่องราวของการประชาสัมพันธ์มาอย่างดีในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงภาคทฤษฏีก็ตามเถอะ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากคุณจบปริญญาตรีจะสาขาอะไรคุณก็สามารถทำงานด้านนี้ได้ดี เพราะอย่าลืมว่าคุณมีคุณสมบัติภาคบังคับแล้วคือ มีความสนใจและมีความรักในงานด้านนี้เป็นทุนอยู่แล้ว
จากนี้คุณก็ศึกษาหาความรู้ด้านนี้เพิ่มเติม มีหนังสือเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ให้คุณอ่านและเรียนรู้อยู่จำนวนมากพอสมควร
ต่อจากนี้ก็มาพิจารณาว่าคุณสนใจจะทำงานการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานอะไร งานเกี่ยวกับธนาคาร บริษัทประกันภัย โรงแรมชั้นหนึ่งระดับ 4 ดาวขึ้นไป ห้างสรรพสินค้า บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าทั่วๆไป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ หรือสนใจงานด้านองค์กรการกุศล โครงการกิจกรรมทางสังคมสงเคราะห์ เมื่อตัดสินใจได้หน่วยงานที่จะทำแล้ว ก็ต้องศึกษาเรียนรู้โครงสร้างของหน่วยงานนั้นๆให้ชัดเจน เพื่อนำมาวางแผนงานการประชาสัมพันธ์
เพียงเท่านี้คุณก็ยังทำงานประชาสัมพันธ์ไม่ได้ เพราะคุณจะต้องศึกษาหาความรู้อื่นๆเพิ่มเติมอีก เช่นความรู้เรื่องสื่อมวลชน ความรู้ด้านการตลาดเบื้องต้น เพราะนักประชาสัมพันธืจะรู้เรื่องการประชาสัมพันธ์อย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะประกอบอาชีพนี้ให้เจริญรุ่งเรือง และสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ในสนามแห่งการทำงานจริง
เบื้องต้นขอฝากคาถา 4 คำนี้ไว้เพื่อเตือนตนเองคือ สุ.จิ.ปุ.ลิ. ดูเหมือนจะคุ้นๆใช่ใหม?
สุ. ตือโสต หายถึงการเป็นนักฟังที่ดี รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเสมอ
จิ. คือจินตนาการ หมายถึงต้องเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรร รับฟังเรื่องอะไรแล้วต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบ อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม
ปุ. คือปุจฉา หมายถึงฟังเรื่องอะไรแล้วไม่เข้าใจต้องไต่ถามให้เข้าใจ อย่าทำเป็นอวดดีว่ารู้
ลิ. คือลิขิต หมายถึงการจด การบันทึกเรื่องที่น่าสนใจ หรือมีความสำคัญ โบราณกล่าวว่าจดดีกว่าจำ
หากนักประชาสัมพันธ์มือใหม่หัดขับ มีคาถา 4 คำนี้ไว้ในการทำงาน ก็จะมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แต่แค่นี้ไม่พออีกต้องมีความรอบรู้อีกหลายเรื่อง ไว้อ่านตอนหน้าต่อ
หลักการประชาสัมพันธ์เบื้องต้น1 : http://www.pantip.com/tech/article/article.php?id=114
หลักการประชาสัมพันธ์เบื้องต้น2 : http://www.pantip.com/tech/article/article.php?id=118
หรือว่าเราเหมาะกับงานประชาสัมพันธ์วะ???
Tuesday, September 19, 2006
เราเริ่มที่จุดจบ (ชอบอ่ะ อยากมีชีวิตงี้)
>>>สวัสดีครับ ผมชื่อแจ็คครับ ผมแต่งงานได้ 3 เดือนแล้วครับ แต่คุณเชื่อม่ะ
>>>แต่งเหมือนไม่ได้แต่งเลย ผม
>>>ยังคงมีชีวิตเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง ต้องย้ำว่าเกือบ
>>>เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิตส่วนตัว
>>>ผมยังคงเที่ยวกับเพื่อนคืนวันศุกร์ เมาสุดๆคืนวันเสาร์
>>>และถอนให้ออกคืนวันอาทิตย์ ไงล่ะครับ อิจฉาผม
>>>ไหม ที่มีอิสระได้อย่างนี้
>>>
>>>
>>> ภรรยาของผม เรียกแบบนี้ก็ไม่เชิงนะ
>>>เรียกว่าคนที่ผมเข้าพิธีแต่งงานด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่
>>>สวยนะครับ เธอก็สวยเหมือนผู้หญิงทั่วไป...
>>>ผมว่าเธอก็น่ารักแบบไม่เหมือนใครดีนะ
>>>แต่เพื่อนมันบอก
>>>“กรูเห็นหน้าแล้วเจี๊ยะบ่โละว่ะ” (เห็นแล้วกระเดือกไม่ลง)
>>>เธอไม่ใช่คนสวยแบบนางงาม ที่หุ่นสวย
>>>หน้าใส ท่าทางสง่า พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวาน เป็นแม่บ้านแม่เรือน ....
>>>ทุกอย่างที่ผมพูดมานั่น
>>>ตรงข้ามหมดเลยครับ
>>>
>>>
>>> เธอชื่อ นักกี้ครับ เธอบอกให้ผมเรียกสั้นๆว่า กี้
>>>และเธอจะเรียกผมว่า
>>>จัก เพราะชื่อฝรั่ง
>>>ไป ไม่เหมาะกับหน้าไทยแบบผม ดูปากเธอสิ
>>>กัดกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอและนี่คงเป็นเสน่ห์ของเธอ
>>>อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมตกลงแต่งงานกับเธอทันทีหลังจากวันดูตัว
>>>
>>>ทั้งที่ในวันนั้น......
>>>
>>>“โธ่ลุง อย่ามาแต่งกะหนูเล้ย ลุงดูนะ หน้าตาก็ไม่สวย แค่น่ารักปานกลาง
>>>หุ่นก็ไม่บองบาง ติดจะล่ำซำ
>>>ไขมัน นี่ๆเห็นอะไรไหมฟันเกตรงมุมปากเนี่ย เขี้ยวซ้อนแหลมๆเนี่ย
>>>ผู้หญิงฟันซ้อนกัน โหหหห ไม่น่ายุ่ง
>>>หรอก หนูทำกับข้าวก็ไม่เป็น ไม้กวาดไม่เคยจับ ไม้ถูพื้นไม่คิดแตะ
>>>ซักผ้าก็ส่งร้าน
>>>
>>> เอางี้ หนูลุงให้ 20 คนเลย เนี่ยะ รายชื่อพร้อมเบอร์โทร กะที่อยู่
>>>ลุงเลือกเลยจะเอาคน
>>>ไหน เดี๋ยวติดต่อให้ ขอบอกโสดๆ สวยๆ ทั้งนั้น เพื่อนหนูเอง คุยกันได้
>>>นี่ๆๆ
>>>เอาไปเลย”
>>>
>>>ผมมองเธอยิ้มๆ และคงเผลอมองนานไปหน่อย
>>>
>>>
>>> “อ่าวลุง ไม่ขำนะ น้อยไปเหรอ อืมมม ขอคิดแป๊ปนะ เอางี้ ให้อีก 20
>>>เลย
>>>แต่คราวนี้เป็นรุ่น
>>>น้องนะ ตอนนี้อยู่ปี 2 กะ 3 รับรองโสด สด สวย แต่ไม่รู้จะซิงรึเปล่า
>>>่ขอเวลาวันนึงหาที่อยู่กะเบอร์ให้
>>>”
>>>
>>>
>>> ครับ เธอพยายามติดสินบน ไม่ให้ผมแต่งงานกับเธอ ด้วยรายชื่อ
>>>ที่อยู่พร้อมเบอร์โทร.สาว ก๊า
>>>กกๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นโว้ย นี่ถ้าผมบ้าจี้รับข้อเสนอนี้ไป
>>>ไม่กลายเป็นพวกค้าหญิงส่งออกรึ จะบ้าตาย
>>>แม่สื่อเขาคิดอะไรของเค้านะถึงมาจับคู่ผมกับเธอ
>>>
>>>
>>>หลังจากปล่อยให้เธอพล่ามข้อเสนอ สินบนไปจนเหนื่อยเอง
>>>โดยมีผมนั่งยิ้มมองเธออย่างเดียว ยังไม่พูด
>>>สักคำ ดูไปแล้วท่าทางเหมือนคนขายประกันจริงๆ
>>>
>>> พอพูดจนเหนื่อย เธอก็ยกกาแฟเย็นดูดรวดเดียวหมดแก้ว
>>>เอาหลังมือเช็ดปากแบบลวกๆ ติดจะ
>>>เรอหน่อยๆนะ ถ้าได้ยินไม่ผิด
>>>
>>>
>>> “ตกลกไม่แต่งกะหนูนะ จะได้บอกมัมกะแด้ดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว
>>>ส่วนเรื่องรายชื่อเอาไปหมด
>>>เลยละกัน ทั้ง 40 เนี่ยแหละ แล้วถ้าสนคนไหน โทรบอกหนูที่เบอร์นี้นะ
>>>ฮี่ๆ “
>>>เธอหยิบปากกาเขียน
>>>หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ลงกระดาษโน้ต
>>>
>>>“อ่ะ โทรได้ตั้งแต่ สิบโมงเช้า ถึง สี่ทุ่ม”
>>>
>>>มีเวลาเปิดปิดด้วยแฮะ
>>>
>>>“ไปนะค๊า หวัดดีค่า หวังว่าคงไม่เจอกันอีก ทั้งชาตินี้ หรือชาติไหน
>>>แล้วนี่ค่ากาแฟของหนู อีก 5 บาท
>>>ไม่ต้องทอน ติ๊บให้”
>>>
>>>
>>> ครับ สินบนสำหรับการไม่แต่งกับเธอคือ รายชื่อพร้อมที่อยู่ เบอร์
>>>กับเงินอีก 5 บาท อืม คุณคิดว่า
>>>ผมควรรับข้อเสนอหล่อนไหมเนี่ยยยย
>>>
>>>
>>>วันต่อมา ไม่รู้ผมคิดยังไงถึงกดเบอร์โทรเธอ อารายยย
>>>ก็เบอร์มันติดมากับโทรศัพท์เท่านั้นเอง คิดมากๆ
>>>
>>>“สวัสดีครับ นักกี้”
>>>
>>>“อืมมมมมมมม”
>>>
>>> ขณะนั้นผมจำได้ว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมง
>>> แต่เสียงเธอดูเหมือนสะลึมสะลือ
>>>
>>>“ว่างไหมครับ คุยกันหน่อยสิ”
>>>
>>>“ไม่ว่าง คนจะนอน ไว้โทรมาใหม่นะ ฝากเบอร์กะชื่อไว้
>>>โทรกลับไม่โทรอีกเรื่อง
>>>แค่นี้นะ”
>>>
>>> เฮ้ย นี่มันบ่ายสองนะขอรับ ว่าที่เจ้าสาวของผม เธอยังไม่ตื่นนอน
>>>ว่าจะบอกข่าวดีซะหน่อย ว่า
>>>....
>>>
>>>
>>> ........ ที่บ้านฝ่ายหญิง......
>>>“ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ คุณพี่ขา ในที่สุด ในที่สุด”
>>>
>>>“ใช่ คุณน้องครับ ในที่สุด ในที่สุด”
>>>
>>>“ยายหนูก็ขายออก ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ”
>>> เสียงพ่อกับแม่ฝ่ายหญิงพูด น่าจะเป็นตะโกนขึ้นพร้อมกัน
>>>
>>>“คุณนายขา เป็นอะไรไปคะ” เสียงสาวใช้รีบวิ่งออกมา
>>>
>>>“นี่ จุ๋ม แจ๋ว แหวว เธอรู้ไหม ยายหนูจะได้แต่งงานแล้วนะ
>>>ที่ไปดูตัววันก่อนน่ะ
>>>ฝ่ายชายเขาตกลงแหละ
>>>นี่ๆ เธอต้องแนะนำชั้นนะ ว่าพระวัดไหนดูฤกษ์เก่ง จะได้ไปผูกดวงกัน อะฮู้ยยย
>>>ตื่นเต้นๆ”
>>>
>>> สาวใช้ทั้งสามคนมองตากันด้วยความยินดีไม่แพ้คุณนาย ในที่สุด
>>>คุณหนูบ้านเราก็ขายออก เย้ๆ
>>>
>>>
>>> ครับ ว่าที่เจ้าสาวของผมเป็นลูกสาวคนเดียว ทางบ้านของเธอกับผม
>>>รู้จักเป็นคู่ค้าทางธุรกิจและ
>>>เพื่อนกันสมัยรุ่นพ่อและแม่
>>>
>>> ก่อนที่ผมจะรู้ว่ามีการดูตัว พ่อบอกให้ผมไปพบลูกค้า
>>>แต่พอเธอเดินมาหย่อนก้นลงยังไม่ทันร้อน
>>>ก็ร่ายมาขนาดนี้ ผมรู้ว่าผมโดนเข้าแล้ว ทั้งที่พยายามบอกปฏิเสธเท่าไหร่
>>>ก็ผมมันสามสิบแล้วนี่ครับ แต่
>>>ขอบอกยังโสดและหน้าตาดีด้วยนะเออ
>>>
>>>
>>> เรื่องตลกที่สุดคือ วันหมั้น
>>>
>>> ก็วันหลังจากที่เธออะละวาดบ้านพัง หนีออกจากบ้านไปได้เกือบวัน
>>>เพราะมีเงินติดตัว 50 บาท
>>>และนอน และนอน รวมทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน
>>>
>>> ทางบ้านของผมและเธอช่วยกันหาฤกษ์ที่ดีและสะดวก เพราะ1.
>>>หมอดูบอกว่า
>>>ถ้าผมและเธอ
>>>ไม่แต่งงานปีนี้ จะไม่ได้แต่งอีกเลยตลอดชีวิต 2. แม่อยากอุ้มหลาน 3.
>>>แม่อยากได้ลูกสะใภ้ 4. แม่
>>>อยากให้ผมแต่งงาน 5. ญาติๆอยากให้ผมเลิกทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้
>>>จีบดะไม่เว้นลูกพี่ลูกน้อง แล้วหักอกแบบ
>>>ไม่ไว้หน้า สรุป มีแต่คนรอบข้างอยากให้ทำ แต่ผมไม่ใช่พวกตามใจแม่หรอกนะ
>>>ตอนนั้นผมแค่นึกสนุกอยาก
>>>แกล้งเธอเท่านั้น
>>>
>>>
>>>“มัมขา ไม่แต่งไม่ได้เหยอ หนูยังเด็กอยู่เลยนะค๊า เรียนก็ยังไม่จบ”
>>>เธออิดออด
>>>
>>>“ก็ยังไม่แต่งนี่คะ แค่หมั้น” คุณแม่พูดขึ้น
>>>
>>>“งั้นแสดงว่าไม่แต่งก็ได้ หมั้นได้ก็ถอนได้ ใช่ไหมคะ”
>>>เธอพูดดวงตาเป็นประกาย
>>>
>>>“ไม่ได้ค่ะ ถ้าหนูไม่แต่ง บ้านเรา ฮือ บ้านเราต้อง ฮือ
>>>ต้องล้มละลายนะคะ”
>>>รู้สึกมัมจะตีบทแตกไป
>>>หน่อย มัมรีบเช็ดน้ำตา เพราะพี่แจ๋วเข้ามาเรียกแล้ว
>>>
>>>“คุณนายขา ข้างล่างพร้อมแล้วค่ะ”
>>>
>>> "ไม่ต้องกลัวยายหนู ไปขึ้นเขียง เอ๊ย ลงไปข้างล่างกันลูก"
>>>
>>>
>>>วันนั้นผมจำได้ว่าตาไม่ได้ฝาด
>>>แต่เหมือนได้เห็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน
>>>เธอดูสง่างาม
>>>สวยในชุดไทยสีครีม คุณแม่เธอจูงมือลงบันไดมา และส่งมือเธอให้ผม พาเธอไปนั่ง
>>>ตรงพิธี
>>>
>>>คำแรกที่เธอทักทายผมคือ
>>>
>>>“มองไรลุง ไม่เคยเห็นนางเอกลิเกรึไง”
>>>
>>>แค่นั้นล่ะครับ ทำผมหัวเราะพรืดออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ อาการสำรวมหายหม้ด
>>>คนอุตส่าห์เก็ก...
>>>
>>>หลังจากผู้ใหญ่ทำพิธีกันเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องสวมแหวนหมั้นให้เธอ
>>>แหวนเพชรน้ำงามถูกเลื่อนลงไป
>>>อยู่ในนิ้วนางข้างขวาของเธอ แต่...ก่อนที่มันจะถูกสวมนั้นสิ
>>>
>>>“ลุง เปลี่ยนวงได้ม่ะ กลัวทำหายอ่ะ นะลุงนะ หายมาแล้วยุ่งนา”
>>>เธอกระซิบกับผมเบา
>>>
>>>ผมอมยิ้ม กับท่าทางของเธอ แล้วจับมือเธอมาสวมอย่างสบาย
>>>ท่ามกลางการดึงมือกลับเป็นระยะ
>>>เสร็จแล้ว ก็ถ่ายรูปกัน ซึ่ง
>>>
>>>“เดี๋ยวๆ ช่างถาพ ไม่เอารูปปึกๆนะ เอ้า ทุกคนคะ ไม่ต้องยืดตัวตรง
>>>นั่งเกร็งค่ะ
>>>เอาแบบสบายๆ รูป
>>>จะได้ออกมาสวยๆ นี่ วัดแสงรึยัง ใช้ได้ล่ะนะ”
>>>
>>>แล้วก็รีบวิ่งกลับมานั่ง ฉีกยิ้มแก้มป่อง ดูเค้าทำสิ
>>>ผมเพิ่งมารู้หลังแต่งงานเดือนแรกว่า เธอเป็นนักถ่าย
>>>รูปสมัครเล่น มิน่า...
>>>
>>>
>>> ระหว่างงานฉลองเธอเดินมาถามผมว่าจะหมั้นกันสัก 3 ปีได้ไหม
>>>ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย และถามว่า
>>>ทำไม
>>>
>>>เธอบอกว่า ปีแรกรับปริญญา ปีที่สองขอเวลาค้นหาตัวเอง
>>>ปีที่สามชีวิตคงเข้าร่องเข้ารอยขึ้น
>>>
>>>ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของเธอ แล้วชู สามนิ้ว เธอยิ้มแก้มป่อง
>>>แทบจะกระโดดกอดผมทีเดียว
>>>ก่อนที่จะพูดว่า “สามเดือน” นั่นล่ะครับ แม่คุณโวยทันที
>>>
>>>
>>> “จะบ้าเหรอ สามเดือน ใครมันจะทำอะไรทัน นี่ลุงจะรีบไปไหน ห๊า
>>>อยากแต่งงานขนาดนี้ทำไม
>>>ไม่แต่งไปซะนานแล้ว อายุก็ปูนนี้ อยู่บนคานทำไมนานนัก ห๊า!!!
>>>ก็บอกว่ายังเรียนไม่จบ เข้าใจไหม”
>>>
>>>
>>> “ก็เดือนหน้าจะรับปริญญาไม่ใช่เหรอครับ นักกี้”
>>>
>>>เธอทำเสียง จิปาก
>>>
>>>“ก็ตอนนี้มันยังเรียนไม่จบ นี่เข้าข่ายพรากผู้เยาว์นะบอกให้”
>>>
>>>ฮ่าๆ ผู้เยาว์สิ อายุ 21 น่ะ ผู้เยาว์ หรือ ผู้สาวคร้าบบบบบ
>>>ขำกับมุขแกน
>>>ที่ไหลไปได้
>>>
>>>“แล้วที่ผมยังไม่แต่ง ก็คงเพราะรอมาเจอนักกี้มั้งครับ เจอปุ๊ป ถูกใจ
>>>แต่งปั๊ปไงครับ”
>>>
>>>“เฮ่อ ตาแก่โรคจิต หัวงู เอาเปรียบผู้หญิง บังคับขืนใจ
>>>กระทำชำเราหน้าด้านๆ......”
>>>
>>> อูยๆ มาเป็นชุด นี่ดีนะ ยืนคุยกันที่สวน
>>>ไม่ค่อยมีคนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็คำพูดแต่ละคำที่
>>>เธอใช้สิ อย่างกับผมไปทำอะไรร้ายแรงงั้นล่ะ ฝ่ายเธอเหรอ
>>>ทำหน้าหักไปตลอดงานเชียว
>>>
>>>จากนั้นผมชวนเธอเข้าบ้านกัน เพราะแดดเริ่มร้อนแล้ว
>>>และคงเหมือนโรคติดต่อที่เธอเห็นผมหัวเราะ
>>>เลยหัวเราะบ้าง
>>>
>>> “ขำไรนักหนา คนแก่เส้นตื้น”
>>>
>>>ฮ่าๆ นั่น ยัยเด็กเส้นตื้นกว่า หัวเราะตาม
>>>
>>>
>>> หลังจากวันหมั้นยังไม่ถึงสัปดาห์ เหตุการณ์เป็นตามที่ผมคาดไว้
>>>นักกี้ใช้ชีวิตโสดจนคุ้มจริงๆ ครับ
>>>เธอนอน และนอน และนอน โทรไปทีไร นอนทุ้กที
>>>แต่เพิ่งมารู้จากว่าที่แม่ว่า
>>>ไอ้ที่นอนน่ะ นอนนอกบ้าน
>>>นะ
>>>
>>>
>>>“พ่อแจ็คช่วยแม่ด้วยเถอะ ยายหนูไปเชียงรายมาสามวันแล้วยังไม่กลับเลย
>>>แม่เป็นห่วง”
>>>
>>>แม่เธอพูดเสียงเศร้าๆ ตีบทแตกตามเคย
>>>
>>>“ตามไปดูน้องให้แม่หน่อยนะลูก”
>>>
>>>
>>>ไอ้กระผมก็จำใจต้องตามไปดูแลคู่หมั้น...ด้วยความเต็มใจ เยี่ยม!!
>>>ได้โอกาสโดดงาน หนีเที่ยว
>>>หลังจากสั่งงานเลขา และเคลียร์งานแล้ว คืนนั้นผมโทรหาเธอ ถามว่าอยู่ไหน
>>>และไปนั่งเครื่องหาถึงที่
>>>พอไปถึง แม่คนนั้นอึ้งครับ ตกใจเหมือนเห็นผีกระหัง
>>>
>>>“เฮ่ย ลุง มาทำไม เที่ยวเหรอ”
>>>
>>>“มาตามเรากลับบ้านเราไง”
>>>
>>>“ไม่!!! ยังไม่ถึงเวลา นี่กี้จองตั๋วไปเมืองกาญฯต่อแล้ว จะไปหลงป่า
>>>บอกมัมกะแด้ดด้วย ยังไงก็ไม่กลับ
>>>”
>>>
>>>“น่าสนใจ ไปด้วยสิ”
>>>
>>>เธอมองหน้าผมแบบสยองๆ ท่าทางเห็นตัวประหลาด แล้วส่ายหน้า หยิกแก้ม
>>>แคะขี้หูเหมือนไม่เชื่อหูตัว
>>>เอง
>>>
>>>“ได้ยินไม่ผิดหรอก ไปด้วย”
>>>
>>>“โฮ่ เพิงเคยเห็นคนแก่กระสันอยากเที่ยว เป็นบุญตาจริงจริ๊ง”
>>>
>>>
>>> ผมขยี้หัวเธอด้วยความหมั่นไส้ ปากดีนักนะ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก….
>>>อารายๆๆๆ
>>>เค้าเป็นคู่หมั้นกัน
>>>แล้ว อย่ามาแซวกันน่าคนอ่าน….
>>>
>>>
>>>สองสัปดาห์ต่อจากนั้น เราหมายถึงผมกับเธอ เราตะลอนเที่ยวทั่วไทยจริงๆ
>>>ทั้งขึ้นเขา ลงแพ ล่อง
>>>แก่ง ลงทะเล ดำน้ำ นอนฟังเสียงคลื่น
>>>
>>> ก็เพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่า เธอเป็นนักเที่ยวตัวยงแต่ติดแนวเก็บกด
>>>เหมือนคนไม่ได้เที่ยวมานาน พอมี
>>>โอกาส เป็นตะลอนจนลืมเหนื่อย และที่ติดตัวเธอตลอดคือ
>>>กล้องถ่ายรูปรุ่นเก่า
>>>ที่เป็นแบบกึ่งauto เจอ
>>>อะไร พี่เป็นถ่ายดะ ดูหน้าเธอตอนได้ถือกล้องแล้ว เหมือนเด็กได้อมยิ้ม
>>>น่ามอง
>>>น่ารักจริงๆ
>>>
>>>“เออ อย่างงั้นแหละจ้า นิ่งๆ ท่านั้นเลย (แชะ) ขอบใจมากนะ ลุง
>>>ยืมตังค์20
>>>จะเอาให้เด็ก ”
>>>
>>>“ของตัวเองอ่ะ”
>>>
>>>“ขี้เกียจล้วงอยู่ในถุง เอาของลุงนั่นล่ะ อย่าหนืดน่า เด๋วกินข้าวเอาให้
>>>เร็วดิ๊ เด็กรอ เห็นไหม”
>>>
>>>คุณครับ นี่เข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์รึเปล่าครับ ....
>>>และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง
>>>
>>>“เฮียจัก ไม่แต่งไม่ได้เหรอ กี้ขอใช้ชีวิตเหมือนคนกะเค้าอีกหน่อยน๊า
>>>น๊าเฮียจักคนดี๊คนดี คนน่าร้าก คน
>>>หล่อที่สู้ดดดเลย”
>>>
>>>เริ่มเปลี่ยนจากลุงเป็นเฮีย และเริ่มแทนตัวเองด้วยชื่อ แหมะ
>>>ผมชอบจังเวลาเธอเรียกชื่อตัวเองเนี่ย
>>>ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู
>>>
>>>“คิดมากน่า กี้ ถึงจะแต่งงานแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนี่ครับ
>>>กี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมล่ะ”
>>>
>>>“จริงดิ!!!!!!! ไม่ต้องทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า
>>>เปลี่ยนปลอกหมอนผ้าปูที่นอน”
>>>
>>>“บ้านพี่ มีคนทำงานพวกนี้ครับ”
>>>
>>>“เจ๋ง!!!!! งั้นก็นอนกลางวันได้ ออกไปถ่ายรูปได้ ดูหนังได้
>>>ไปค่ายอาสาได้”
>>>
>>>ผมผงกหัว กับกิจกรรมทั้งหลาย
>>>
>>>“แต่ต้องมีพี่ไปด้วย” เธอหน้างิกทันที
>>>
>>>“เรื่องไรปล่อยให้เราไปสนุกคนเดียว”
>>>
>>>ผมพูดยิ้ม แล้วขยี้ผมเธอด้วยความมันเขี้ยว เธอเลยแล่บลิ้น แบร่
>>>
>>>
>>>
>>> วันแต่งงานของเรา
>>> เป็นวันที่เหนื่อยและสนุกที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม
>>>นิกกี้แปลงร่างอีก
>>>แล้วครับ คราวนี้ยิ่งกว่าวันหมั้นอีก เหมือนไม่ใช่นักกี้ที่ผมรู้จัก
>>>ใครเอายายนักกี้จอมยุ่ง จอมซ่าส์ จอม
>>>ซุ่มซ่าม ยัยเอ๋อของผมไปไหน แล้วผู้หญิงสวย บาดตาบาดใจ
>>>ที่ยืนตรงหน้าผมนี่ใคร
>>>
>>>“คุณแจ็ค ถึงกับตะลึงเลยเหรอค๊า
>>>เจ๊แต่งเองก็ยังทึ่งกับฝีมือตัวเองเลยค๊า
>>>แหมน้องกี้น่าจะแต่งหน้าบ่อยๆ
>>>นะคะเนี่ย”
>>>
>>>ช่างแต่งหน้าเพื่อนเธอทักกับอาการตะลึงของผม และถ้ามองไม่ผิด
>>>ผมเห็นเธออายผมนะ
>>>อิอิ ดูสิ หน้า
>>>แดงแข่งกะแก้มเชียว
>>>
>>>
>>>ช่วงเช้าเราทำพิธีแบบไทย มีการสู่ขอที่บ้านฝ่ายหญิง
>>>และตอนเย็นมีงานเลี้ยงที่โรงแรม เจ้าสาวของผม
>>>วันนี้เธอสวยมากจริงๆครับ ผมไม่เคยเห็นนักกี้ตอนแต่งหน้า
>>>แต่งตัวแบบเจ้าหญิงมาก่อน
>>>
>>>รู้ไหมครับ ประโยคแรกที่เธอทักผมในงานตอนเช้าคืออะไร
>>>
>>>“มองอยู่ได้เฮียจัก ไม่เคยดูละครช่อง 7 ตอนเช้าวันเสาร์รึไง แน่ะ
>>>ยังมองอีก
>>>วุ้ยยย”
>>>
>>>ฮ่าๆ ประโยคเด็ดละลายอาการขรึมของผมได้เช่นเคย
>>>
>>>และประโยคแรกในตอนเย็น ที่เจ้าหญิงชุดขาวทักผมคือ
>>>
>>>“โรคจิต!! ทำยังกะไม่เคยอ่านซินเดอเรล่า”
>>>
>>>คนพูดหน้ามุ้ย แล้วเดินดุ่มๆ ออกไป ถลกกระโปรงยาวเดินเข้างาน
>>>คงจะดีถ้าแม่คุณไม่สะดุดขาเก้าอี้
>>>หรือขาโต๊ะ นั่นๆ ว่ายังทันขาดคำ ล้มโต๊ะไปแล้วหนึ่ง ...
>>>
>>>
>>> ในงานนี้ ทั้งเพื่อนของผมและเธอต่างทำหน้าไม่เชื่อ เมื่อได้รับการ์ด
>>>แม้จะมาอยู่ในงานแล้ว ก็ยัง
>>>ทำหน้าเอ๋อกันไม่หาย ไอ้ที เพื่อนสนิทผม คบกันมาตั้งแต่เรียนมอปลาย
>>>มันยังว่า
>>>
>>>“ไอ้แจ็ค เอาจริงเหรอวะ ข้าว่า รายนี้มันไม่ใช่สเปคเอ็งนา”
>>>
>>>“นั่นสิ พี่แจ็คขา ถ้าถูกพ่อแม่บังคับ หรือขู่จะยึดเงิน
>>>บอกแนนนี่ได้นะคะ
>>>แนนนี่ให้ยืมก่อนก็ได้”
>>>
>>>“แจ็ค นี่คุณเสียสติรึเปล่า คิดไงเอาเด็กกะโปโลแบบนี้มาเป็นเมีย ต้องสวย
>>>เริ่ด
>>>ไฮโซ แบบชั้นสิ คุณ
>>>ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
>>>
>>>และอีกสารพัดประโยคที่ผมเจอในงาน ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ว่า
>>>ผมไม่ได้ถูกพ่อแม่บังคับนะ แต่ง
>>>งานกับนิกกี้ด้วยความเต็มใจ ตอนแรกก็เพราะแค่อยากแกล้งเธอเท่านั้น
>>>และว่าจะถอนหมั้นซะในช่วง
>>>เวลาที่หมั้นกันไว้
>>>
>>>แต่เมื่อได้รู้จักเธอแล้ว ผมกลับเป็นฝ่ายถอนตัวจากเธอไม่ได้
>>>
>>>ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะ เราคบกันเหมือนพี่น้อง เหมือนเพื่อนน่ะ
>>>
>>>ไอ้ที น้องแนนนี่ และ แพทตี้ยังทำหน้าไม่เชื่อ กับสิ่งที่ได้ยินนัก
>>>สักพักที่ผมรู้สึกว่า ที่ตรงข้างกายจะว่าง
>>>นานไปแล้ว จึงขอตัวไปตามหาเจ้าสาว
>>>
>>>“ดูมันเห่อเมีย วู้ๆ ไอ้ปลาไหลโดนใบข่อยดักโว้ย วู้วววว”
>>>ไอ้ทีแซวตามหลัง
>>>ผมไม่สนใจกับคำพูดของ
>>>เพื่อน เป้าหมายของผมอยู่นั่นไง
>>>
>>>
>>>อ้อ เธออยู่ที่โต๊ะเพื่อนเธอ โต๊ะที่เสียงดังที่สุดในงาน
>>>เมื่อผมเดินเข้าไปจึงได้ยินเสียง โฮ่ ฮิ้ว มาแต่ไกล
>>>ทั้งโต๊ะมีสมาชิกทั้งหญิงและชาย และสาวๆในโต๊ะนั้น
>>>สวย สวยมากๆ ขอย้ำ สวยมากๆ
>>>
>>> นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่ไม่รับข้อเสนอของนักกี้ในวันแรก...
>>>
>>>
>>>“เฮียจัก มาพอดี นี่ ขอแนะนำเพื่อน และน้องให้รู้จัก เริ่มจากทางขวาคือ
>>>แอน
>>>อุ๋ม อ้อน อุ้ม ไก่ โชค
>>>แวว แมน แล้วทุกคน นี่เฮียจัก”
>>>
>>>“ดีคร้าบบบบ ดีค่ะ”
>>>
>>>ทุกคนยกมือไหว้ผมทันที จะไหว้ทำไมฟร่ะ ไม่ได้แก่ไรขนาดนั้นสักหน่อย
>>>นักกี้หลิ่วตามองผมแซวๆ ว่า
>>>แก่แล้วนะ ลุงน่ะ ผมทักทายทุกคนสักพักก็พาเจ้าสาวเดินไปโต๊ะอื่น
>>>ระหว่างทาง
>>>เธอหัวเราะและมองผม
>>>อย่างสมน้ำหน้า
>>>
>>>
>>>“เห็นมั้ยล่า กี้เสนอไปแล้วนา เฮียจักไม่รับเอง เสียดายล่ะสิ๊”
>>>
>>>“ก้อ นิดหน่อยนะตามประสาผู้ชาย”
>>>
>>>“ฮ่า สมน้ำหน้า นี่ถ้าตกลงนะ ป่านนี้สบายไปแล้ว ไม่ต้องมาตก
>>>ระกำอะไรกับกี้หร้อก”
>>>
>>> โป๊ก ผมเขกหัวเธอไปทีด้วยความหมั่นไส้ ใครบอกว่าตกระกำ ลำบาก
>>>ผมได้เจอกับสิ่งที่คนอื่นจะ
>>>ไม่ได้ตะหาก
>>>
>>>
>>> และคืนวันส่งตัวนั่นเอง หลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งตัวเข้าห้องหอ
>>>ที่เรือนหอ
>>>บ้านที่ปลูกแยกมาจากบ้านผม
>>>ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ไกลนัก
>>>
>>>
>>>“แด้ดขา มัมขา อย่าทิ้งกี้ไปนะ อยู่ด้วยกันก่อนอ่ะ”
>>>
>>>หนวดปลาหมึกที่ชื่อนักกี้เกาะพ่อแม่ไว้แน่น
>>>
>>>“ยายหนูไม่ต้องกลัวหรอกลูก อย่างที่แม่สอนไงคะ โอเคนะ นะ” แม่ทำท่าโอเค
>>>
>>>“นั่นสิหนูกี้ พี่เขาไม่ได้จะฆ่าจะแกงหนูหรอกจ๊ะ ครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะ
>>>แม่จะได้อุ้มหลานสักที ทำเพื่อแม่นะ
>>>ลูกนะ”
>>>
>>>แม่ผมที่รักลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองพยายามปลอบใจ
>>>
>>>“ผมว่า เราเลื่อนวันส่งตัวไปก่อนไม่ดีเหรอคุณน้อง ลูกหน้าซีดๆ
>>>สงสัยจะไม่สบายนะ” พ่อเธอเริ่มออก
>>>อาการ
>>>
>>>“เอ๊ะ คุณนี่ จะมาหวงลูกสาวอะไรนาทีสุดท้าย ไปๆ ออกไปกันเถอะค่ะ คุณพี่
>>>เชิญค่ะ
>>>ให้บ่าวสาวได้พัก
>>>ผ่อนกัน”
>>>
>>>"แด้ด มัม เดี๋ยวอย่าเพิ่งปายยยย อย่าทิ้งหนูไว้น๊าาาาาาาาาาา”
>>>
>>>ปัง!!!! ประตูปิดลง
>>>
>>>เธอหันกลับมามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว
>>>
>>>ฮะ ท่าทางเหมือนลูกแมวตัวน้อย แล้วเจ้าลูกหมาจอมซ่าส์ หายไปแล้วครับ
>>>แม่คุณ
>>>ดูแววตาสิ เหมือน
>>>ผมเป็นตัวประหลาดน่ากลัวซะเหลือเกิน
>>>
>>>เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วยื่นเอาผ้าเช็ดตัวให้ผม
>>>
>>>“เฮียจักอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวกี้จะเล่นคอมก่อน”
>>>
>>>“เอางั้นเหรอ ตามใจนะ”
>>>
>>>แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำไป
>>>อันที่จริงผมก็ไม่ได้หื่นกระหายใคร่ได้เธอนักหรอกครับ
>>>ผมยังไม่อยากได้ชื่อว่า
>>>เป็นพวกข่มขืนภรรยาตัวเอง ไม่ชอบบังคับใคร ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็สมยอม
>>>มือระดับนี้ ไม่อยากทำร้าย
>>>ใคร ถ้าจะเอา คงเอาไปนานแล้ว หุหุหุ
>>>
>>>
>>>และตามที่ผมคิดไว้
>>>
>>>
>>>ทันทีที่ผมก้าวออกจากห้องน้ำปุ๊ป เธอรีบวิ่งสวนเข้าไปปั๊ป
>>>หอบสารพัดเสื้อผ้า
>>>นี่เธอจะซักผ้าตอนกลาง
>>>คืนรึไง
>>>
>>>
>>>เวลาผ่านไป ....นาน นาน นาน และนาน
>>>
>>>
>>>ผมเช็คเมลล์ก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว นั่งเล่นก็แล้ว รอแล้วรออีก
>>>เธอก็ยังไม่ออกมา เลยปิดไฟข้างผม
>>>เดินไปบอกเธอหน้าประตูห้องน้ำว่า
>>>
>>>“พี่หลับก่อนนะครับ อย่านอนในนั้นเลย
>>>ออกมานอนด้วยกันบนที่นอนนุ่มๆดีกว่า
>>>ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ไม่ทำ
>>>อะไรเราหรอก”
>>>
>>>...ได้ผล ...
>>>
>>>เธอค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา ด้วยชุดที่ .... เอ่อะ
>>>ผมว่ามันไม่ใช่ฤดูหนาวนะ
>>>แต่ดูเสื้อผ้าเธอใส่สิ
>>>เหลือรับประทานจริงๆ
>>>
>>>
>>>“ฮ่าๆ กี้หนาวเหรอ ดู ใส่เข้าไปได้ไง กลัวพี่เหรอครับ”
>>>
>>>ลูกแมวน้อยผงกหัวรับ แววตาระแวงผมสุดขีด
>>>
>>>เฮ้อ หลังจากเช็ดเครื่องสำอาง อาบน้ำสระผมแล้ว เธอก็กลับเป็นยัยนักกี้
>>>ลูกแมวน้อยจอมกวน ที่ตอนนี้
>>>ซ่าส์ไม่ออกไปแล้ว
>>>
>>>เธอเดินมายืนชิดขอบเตียง ขณะที่ล้มตัวลงนอนแล้ว
>>>
>>>“เฮียจักต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรกี้”
>>>
>>>“หืม! อืม ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอะไรกี้ ถ้ากี้ไม่ทำอะไรพี่”
>>>
>>>“เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไง หาว่ากี้จะหน้ามืดไปข่มขืนเฮียรึไง
>>>พูดงี้มาต่อยกันเลยม่ะ”
>>>
>>>แต่ผมง่วงเกินกว่าจะทะเลาะกับเธอแล้ววันนี้
>>>
>>>“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ พี่ง่วงแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่นะ
>>>นอนล่ะ”
>>>
>>>แล้วผมก็ปิดไฟ นอนหันหลังให้เธอ
>>>เธอรีๆรอๆ สักพักใหญ่ คงดูว่าผมหลับจริงไหม
>>>เมื่อไม่รู้สึกที่นอนข้างๆมันหยุบสักทีผมเลยแกล้งกรน
>>>
>>>
>>>ครับ ผม(แกล้ง)หลับไปสักพักใหญ่ ก็ลุกมาดูว่าเธอนอนตรงไหน
>>>เธอไม่นอนเตียงกับผมครับ เธอนอนบ
>>>นพื้นข้างเตียง เอาหมอนและหมอนข้างไปเรียบร้อย ......ทุ่มทุนสร้างจริงๆ
>>>
>>>
>>>เฮ้อ ยัยลูกแววน้อยจอมซ่าส์เอ๊ย ผมมองเธอด้วยความเอ็นดู อ่ะ
>>>แค่เอ็นดูหรอกนะ
>>>ผมไม่ได้รักเธอ
>>>หรอก แค่สงสารเลยอุ้มเธอขึ้นนอนบนเตียงด้วยกันแค่นั้นเอง
>>>
>>>
>>> เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น แสงแดดอ่อนส่องผ่านหน้าต่าง ผมยังคงนอนตะแคง
>>>หันข้างให้คนอีกฝากของ
>>>เตียง
>>>
>>> แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาดิ้นขลุกๆ อยู่ที่หลัง
>>>ผมพลิกตัวกลับมาดู นักกี้นั่นเอง
>>>เธอนอนกอดหมอนข้างอมยิ้มเหมือนเด็ก และเอาหัวมาซุกหลังผมเหมือนหาไออุ่น
>>>
>>> ผมขยับตัวหามุมเล็กน้อย และนั่นคงทำให้เธอรู้สึกตัว จึงเริ่มขยับ
>>>เปลี่ยนท่านอน ดูเธอสิ อมยิ้มน่า
>>>รักเชียว และนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะก้มลง
>>>จูบอรุณสวัสดิ์เธอที่หน้าผาก
>>>
>>>
>>>เธออมยิ้มแต่ไม่ยังลืมตา คงไม่รู้ตัวล่ะสิ ฝันถึงอะไรอยู่น๊า
>>>เธอเริ่มดิ้นอีกครั้งเอาหัวซุกกับหน้าอก
>>>ผม เหมือนเจ้าตัวน้อยที่ดิ้นหาไออุ่นจากอกแม่ของมัน ผมกอดเธอไว้หลวม
>>>ลอบมองหน้าเธอตอนหลับ
>>>
>>>เฮ้อ นี่เราไปสัญญาอะไรบ้าๆกับเด็กฟร่ะเนี่ยยยย
>>>
>>>ขันตินายแจ็ค ขันติ คิดได้แค่นั้นผมก็ลุกไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน
>>>แต่ก่อนลุก
>>>ผมใช้เวลาทำใจอีกนิด
>>>ก่อนจะปล่อยลูกแมวน้อยออกจากอ้อมแขนก
>>>
>>>
>>>
>>>ครับ ผมแต่งงานมา 3 เดือนแล้วครับ ผมใช้ชีวิตเกือบเหมือนเดิม ยกเว้นแต่
>>>เวลาว่างของผมมักมีภาพ
>>>ใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมาให้คิดถึงเสมอ นักกี้และผมเป็นเหมือนคู่แฝด
>>>เวลาผมไปฟิตเนส หรือไปเที่ยว
>>>ไหน เรามักไปด้วยกันเสมอ
>>>
>>>และความรู้สึกของผม ที่มีต่อเธอมันเริ่มเพิ่มขึ้น และรู้สึกคิดถึง...
>>>ผมไม่แน่ใจนักว่าควรใช้คำนี้ไหม แค่รู้
>>>สึกข้างกายมันโล่ง เวลาไม่มีเธออยู่ด้วย ผมมักคิดถึงผมหอมๆ
>>>ที่ชอบแอบมาซุกกับอกผม คิดถึงเจ้าตัว
>>>นุ่มนิ่มที่ได้แอบกอดตอนเช้าก่อนไปทำงาน
>>>คิดถึงรอยยิ้มตอนหลับที่น่ารักจนผมจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าวัน
>>>หนึ่งผมผิดสัญญากับเธอเล่าอะไรจะเกิดขึ้นนะ คิดได้แค่นั้นก็....
>>>เห่อๆๆๆๆ
>>>
>>>“ท่านประธานคะ โครงการนี้ท่านเห็นว่าไงบ้างคะ”
>>>
>>>“ท่านคะ ท่าน”
>>>
>>>“หา อะไรนะ เมื่อกี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ อธิบายอีกรอบสิ”
>>>
>>>ก็แบบนี้ล่ะครับ เธอทำให้ผมเป็นมาตั้งแต่แต่งงาน
>>>ทั้งที่อาการแบบนี้ไม่ได้เป็นมานานแล้วตั้งแต่ผมโดนหัก
>>>อกและเริ่มสวมวิญญาณเพลย์บอย นักกี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองของผู้หญิงใหม่
>>>
>>>มันน่าแปลกมากสำหรับคนที่เกลียดกลัวการผูกมัด กลัวการผูกพันอย่างผม
>>>ก่อนที่ผมจะเจอเธอ ผมมีสาวๆ
>>>แก้เหงาเสมอ แต่เวลาสามเดือนที่ผ่านมา
>>>ชีวิตเสเพลเริ่มเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย
>>>เพราะรู้ถึงคุณค่าของ
>>>สิ่งที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แต่ผมกลับไม่นักใจเลยที่ต้องสวมมันไว้
>>>ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย
>>>
>>>
>>>“เฮียจัก กี้ไม่ใส่ได้ม่ะ กลัวหายอ่ะ อันตรายด้วย เกิดโดนแท็กซี่ปล้นอ่ะ
>>>น่ากลัวนา ใส่ไปเดี๋ยวทองหมอง
>>>เพชรหลุดอ่า เสียดายของแย่ กี้ถอดเก็บไว้นะ นะ”
>>>
>>>“ไม่ได้!!!!”
>>>
>>>ผมตอบออกไปเสียงดังทันที ทำไม แค่ใส่แหวนแต่งงาน กลัวหนุ่มไหนมันจะรู้
>>>ฮึ
>>>ยัยนักกี้
>>>
>>>“กี้แต่งงานแล้วนะ กลัวหนุ่มไหนรู้เหรอ ว่าเราไม่โสดแล้วน่ะ
>>>ทีพี่ยังใส่ได้เลย
>>>พี่สิควรจะรำคาญมัน ไม่
>>>ใช่เรา”
>>>
>>>“เฮ่ออออออออ ตูละเบื่อ ตาแก่ขี้หึงจริงๆ“
>>>
>>>“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะกี้ เป็นผู้ใหญ่สักทีสิ”
>>>
>>>ผมแกล้งพูดน้ำเสียงจริงจัง กลบอาการเขินเต็มๆ เรื่องอะไรมาว่าเราหึง
>>>เหอะ
>>>อย่างกะตัวเองจะมี
>>>หนุ่มไหนมาสน นอกจากผมงั้นล่ะ เฮอะๆ เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ได้หึง...
>>>
>>>“โอ๋ๆๆๆๆ เฮียจัก อย่างอนสิ เอางี้เดี๋ยววันนี้ไปเล่นเกมตู้กัน
>>>กี้เพิ่งอ่านหนังสือเกมส์มา มีเกมส์ออกใหม่
>>>ท่าทางหนุกมากเลย ไปด้วยกันน๊าาาาา”
>>>
>>>“ไม่ พี่ไม่ใช่เด็กๆ จะให้ไปเล่นเกมตู้น่ะ”
>>>
>>>....
>>>
>>>“เฮียจัก เล่นดีดีดิ ยิงให้ถูกหน่อย ฝีมือแย่ชะมัด เห็นม่ะพากันตายเลย”
>>>“กี้นั่นแหละ ยิงมั่ว มายิงพี่ทำไม เอาใหม่เลย มา มา
>>>คราวนี้ต้องผ่านด่านนี้ให้ได้”
>>>
>>>...
>>>
>>>ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งครับตอนอยู่กับเธอ
>>>ช่วงเวลาเด็กที่ผมมักไม่มีเหมือนคนทั่วไป ผม
>>>ต้องอ่านหนังสือ มุ่งมั่นกับการเรียน ให้ได้คะแนนดีเยี่ยม
>>>และศึกษางานของที่บ้านไปพร้อมกัน จนทำให้ผม
>>>ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้านักธุรกิจรุ่นใหม่ เมื่ออายุขึ้นเลข 3
>>>ผมก็มีพร้อมทุกอย่าง
>>>
>>>จนผมตัดสินใจจะแต่งงานกับเธอนี่ล่ะ ถึงทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงแล้ว
>>>ผมไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย สิ่งที่
>>>ชีวิตผมขาดไปคือ ความสุข ความสดใส นั่นเอง
>>>ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะเราแค่สนิทกันเหมือนพี่น้อง คบ
>>>กันเหมือนเพื่อนน่ะน
>>>
>>>
>>>คืนวันอาทิตย์ เพื่อนชวนผมออกมาเหล่สาวตามเคย ทั้งที่ผมบอกปัดมันไปแล้ว
>>>อยากอยู่บ้าน นอนดูหนังกะ
>>>นักกี้บนโซฟา หน้าทีวี ผมชอบแอบดูเธอตอนกำลังลุ้นกับหนัง
>>>และบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาซะงั้น เธอจะ
>>>มาอาศัยไหล่ผมเป็นผ้าเช็ดหน้าครับ นี่ละที่ชอบบบบบ
>>>
>>>ผมพยายามอ้าง อกปัดไปเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายมันใช้ไม้เด็ด
>>>หาว่าผมกลัวเมีย ชะ คนอย่าง
>>>นายแจ็ค ไม่มีคำว่า "กลัว" ที่ไหนบอกมา
>>>ผมขึ้นไปบอกนักกี้ในห้องอ่านหนังสือว่าจะออกไปข้างนอก เธอ
>>>ยิ้มให้ โบกมือบ้ายบาย ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
>>>นี่หนังสือนั่นมีดีอะไรนัก ถึงละสายตามามองกัน
>>>ไม่ได้เนี่ย ห๊ะ
>>>“เฮ้ยแจ็ค ทำไมเมียเอ็งดียังงี้ว่ะ ออกเที่ยวกลางคืนยั่งงี้
>>>เขาไม่ว่าอะไรเอ็งเหรอ”
>>>
>>>ก็ใครมันลากตูออกมาล่ะว้า
>>>
>>>“ไม่หนิ”
>>>
>>>“งั้นเขาก็ไม่แคร์เอ็งเท่าไหร่น่ะสิ ดีว่ะ แฟนข้านะ บอกจะออกเที่ยว
>>>ทำหน้าหงิกยังกะอะไรดี”
>>>
>>>“ไม่รู้เขา คงคิดว่าเรานัดกันประจำมั้ง
>>>เค้าไม่ค่อยยุ่งกะเรื่องอย่างงี้เท่าไหร่ว่ะ”
>>>
>>>“เฮ้ย งั้นเอ็งไปแต่งงานกะเขาทำไมว่ะ ต่างฝ่ายต่างไม่สนกันหยังงี้อ่ะ
>>>ข้าว่าสงสารเด็กมันนา”
>>>
>>>“เด็กไร เรียนจบแล้ว” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
>>>
>>>“เอ่อนั่นแหละ ถ้าเทียบกับเรา เขาก็ยังเด็ก
>>>เอ็งคิดมั่งเปล่าว่าไปตัดอนาคตเด็กมัน เขาอาจอยากไป
>>>เรียนต่อก็ได้นะเว้ย” ไอ้ทีเริ่มกรึ่ม จึงพูดออกมาตรงๆ
>>>
>>>“ข้าว่าไม่นะ เห็นอยู่เฉยๆไปวันๆ คงไม่คิดอะไรหรอกมั้ง”
>>>
>>>ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเพื่อน ทั้งที่ตัวผมก็มักทบทวนกับตัวเองบ่อยๆ
>>>นี่เราทำอะไรอยู่ ผมเอาแต่ใจ
>>>ตัวเองเกินไปรึเปล่าที่ดึงเธอไว้ด้วยกันแบบนี้ ผมแย่งอนาคต
>>>กักขังความฝันของเธอไว้ไหม เธอเพิ่ง
>>>ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เธออาจต้องการตามหาฝัน อย่างที่เธอขอเวลาผมไว้ 3
>>>ปี
>>>นั้น
>>>
>>>เฮ้อ นี่เราทำบ้าไรอยู่ฟร่ะ.... คืนนั้นผมนั่งกรอกเหล้าเป็นเพื่อนไอ้ที
>>>และมันก็นั่งเหล่สาวแทนผมจนดึก
>>>
>>>“เฮ้ย บ้านนี้มีใครอยู่มั่ง มาช่วยกันหน่อยโว้ย มาลากไอ้แจ๊คช่วยหน่อย”
>>>
>>>“ขา มาแล้วๆค่า”
>>>
>>>“ยังไม่นอนเหรอครับ นักกี้ รอหมอนี่ล่ะสิ โทษนะ คืนนี้ดึกไปหน่อย
>>>พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก นายนี่มันไม่
>>>ยอมกลับน่ะ ผมเลยต้องนั่งเป็นเพื่อนมัน แต่วางใจได้ ไม่มีเรื่องผู้หญิง
>>>มีแต่เหล้าเพียวๆจ๊ะ” ... จริง
>>>อ๊ะ
>>>
>>>“เอิ้ก เอาเหล้ามาอีกกก น้องเติมๆ”
>>>
>>>“เติมไรเล่า ถึงบ้านแล้ว ไอ่บ้า (ไม่ต้องมาแกล้งเมาอ้อนเมียเลยนะเอ็ง)
>>>ไปนะ
>>>นักกี้”
>>>
>>>“ขอบคุณพี่ทีค่ะ ทิ้งไว้ตรงโซฟานี่ล่ะ เดี๋ยวกี้ให้เด็กมาลากคอไปเองค่ะ”
>>>
>>>ชะอุย ลากคอเลยรึ นายทีนึกในใจ
>>>
>>>“เฮียจัก เดินดีดีสิ ฮู้ย เมาแล้วยังมาเดือดร้อนชาวบ้านอีก
>>>สำนึกไหมเนี่ย”
>>>นักกี้พยายามลากคอผมขึ้น
>>>ข้างบน
>>>
>>>“อืมมมมม นักกี้ เด็กน้อยยยยยย ลูกแมวน้อยของพี่”
>>>
>>>มือผมเริ่มเหมือนปลาหมึก พอถึงเตียงเธอโยนผมลง
>>>
>>>“เมาหนักเลยแฮะ ทุกทีเห็นกินพอเป็นกระสัยไม่ใช่ เฮียจัก
>>>กี้ไม่อยากยุ่งหรอกนะ
>>>เพราะถือว่าเป็น
>>>เรื่องส่วนตัว แต่นี่กินแบบไม่รู้ขีดจำกัดตัวเองแบบนี้ ไง อกหักรึไง”
>>>
>>>ว่าพลาง ก็เลื่อนมือเช็ดตัวไปพลาง
>>>
>>>“เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด พวกขี้เมา”
>>>
>>>“รังเกียจนักก็ไม่ต้องมายุ่ง” ผมว่าพลางปัดมือเธอออก
>>>
>>>“ไรว้า คนจะเช็ดหน้าให้ เอ่อ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ผ้าอยู่นี่นะ
>>>ทำเองแล้วกัน”
>>>
>>>“แล้วนั่นจะไปไหน ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน” ผมเลิกแกล้งเมา
>>>แล้วถามเธอขึ้น
>>>
>>>“เล่นคอมค่า มีอะไรไหมค๊า”
>>>
>>>จะเพราะท่าทางของเธอที่นั่งพิมพ์ไปยิ้มไป บางครั้งก็หัวเราะคนเดียว
>>>ผมสงสัยจึงเดินไปหาเธอที่หน้า
>>>คอม
>>>
>>>เธอกำลังเล่น msnอยู่ มีหน้าต่างโผล่ซ้อนกันหลายอัน
>>>และคนที่เธอพูดด้วยตอนนี้ก็ใช้คำว่า ครับอยู่ ท่า
>>>ทางมีความสุขจริงนะ
>>>
>>>“ใครอ่ะ” ผมถามขึ้นลอยๆ ยืนมองอยู่หลังเธอ
>>>
>>>“เพื่อนน่ะ อยู่ต่างจังหวัด”
>>>
>>>“รู้จักกันได้ไง”
>>>
>>>“เฮ้อ เฮียจักเป็นไรอ่ะ วันนี้มาแปลก ทุกทีไม่เห็นยุ่งเลย เมาหนักแฮะ
>>>ไปนอนป่ะเฮีย”
>>>
>>>“ถามว่ารู้จักกันได้ไง” ผมเริ่มเสียงเข้ม
>>>
>>>“ก็ทางเอ็มนี่ไง”
>>>
>>>“นานยัง”
>>>
>>>“สองปีกว่า ไมเหรอ ถามอีกม่ะมันอายุเท่าไหร่ พ่อแม่ทำงานอะไร ห๊า”
>>>
>>>เธอหันไปจดจ่อกับหน้าจอโดยไม่สนใจผม และตอบคำถามแบบขอไปที
>>>
>>>“ไว้ใจได้เหรอ เขาอาจหลอกเราอยู่ก็ได้นะ ยิ่งพวกผู้ชายทางอินเตอร์เนตน่ะ
>>>ยิ่งไว้ใจไม่ได้รู้ไหม”
>>>
>>>“ยุ่งไรอ่ะ ก็บอกแล้วไง ว่ารู้จักกันนานแล้ว นานกว่ารู้จักกับเฮียจักอีก
>>>เข้าใจ๊ ”
>>>
>>>พรึบ!!!!!!
>>>
>>>ผมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ออกทันที โมโหวุ้ย
>>>ไอ้เจ้าหนุ่มนั่นสำคัญกว่าเรางั้นเหรอ
>>>ฮึ่ม!!!
>>>
>>>“ทำไรอ่ะ ทำไรงั้นอ่ะ เฮียจักบ้าที่สุด ขี้เกียจต่อเนตใหม่นะ
>>>เมาป่วนอ่ะ”
>>>
>>>“หิวข้าว หาไรให้กินหน่อยสิ”
>>>
>>>“ก็ลงไปดูในตู้เย็นดิ๊”
>>>
>>>“ไม่เอา ทอดไข่ให้หน่อย”
>>>
>>>“ทำไม่เป็น รอเดี๋ยวล่ะกัน ดูตู้เย็นให้ มีไรเหลือมั้ย”
>>>
>>>ระหว่างที่เธอหาของกินในตู้เย็นให้ผมนั้น
>>>ไม่รู้ผีที่ไหนมาเจาะปากให้ผมถามเธอออกไป
>>>
>>>
>>>“กี้ รักเฮียจักไหม”
>>>
>>>กึก
>>>
>>>ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ เหมือนเวลาหยุดหมุน
>>>
>>>“ว่าไง รักพี่บ้างไหม”
>>>
>>>“ถ้าตอบว่า “ไม่” เฮียจักจะโกธรไหม”
>>>
>>>
>>>ผมกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงไปในคอ หันหลังจะกลับขึ้นไปนอน
>>>
>>>“นั่นสินะ พี่คงเอาเปรียบเราเกินไป ที่แย่งอนาคตเรามา แยกเราจากเพื่อน
>>>จากความฝันของเรา”
>>>
>>>“เฮียจัก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ผมหันมายกมือห้าม และเดินต่อไป
>>>
>>>“ไม่ต้องพูดหรอก อดทนหน่อยนะ ไว้เช้าเมื่อไหร่ เราไปหย่ากัน
>>>พี่จะคืนอิสระให้กี้ เราจะได้ไม่ต้อง
>>>มาทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักอีกต่อไป”
>>>
>>>“จะบ้าเหรอ อย่าทำเป็นงอนไปหน่อยน่า ฟังก่อนได้ไหม”
>>>
>>>ผมหันมามองเธอ อย่างอดทน พยายามนับหนึ่งถึงร้อย
>>>
>>>“ฟังนะเฮียจัก ทำเลือดร้อนที่โดนแอลกอฮอลเผาให้มันเย็นๆลงหน่อย
>>>แล้วฟังนี่”
>>>
>>>“กี้รู้ตัวเสมอว่า ทำอะไรอยู่ ถึงแม้่การที่เราแต่งงานกัน
>>>มันจะไม่ได้เริ่มจากความรักและความเต็มใจ
>>>ของทั้งสองฝ่าย แต่...แต่กี้ก็ชอบเฮียจักมาก
>>>เฮียจักเป็นผู้ชายที่ดีคนนึงที่กี้รู้ว่า สักวันกี้จะรักเฮียได้”
>>>
>>>“แต่เราก็ไม่ได้รักพี่หนิ”
>>>
>>>แล้วผมหันหลังเดินออกไป เธอรีบวิ่งตาม มาขวางหน้าไว้
>>>
>>>“ปั๊ดโธ่โว้ยยยย!!!!!! อย่าทำตัวเป็นเด็กน่า ฟังให้จบก่อนสิ”
>>>
>>>“มีอะไรอีก ง่วงจะนอน” ผมทนฟังต่อไปไม่ได้ เดินไปถึงเตียง
>>>ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เธอ
>>>
>>>“เออนอนฟังไปล่ะกัน จะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
>>>
>>>“ก่อนจะเจอกับเฮียจัก กี้ก็โดนจับคู่มาเยอะ
>>>แต่กี้ก็หนีมาตลอดและในที่สุดแด้ดมัมก็เลิกล้มไป แต่พอมาเคส
>>>เฮียจัก มันผิดไปหมด กี้คิดว่าจะลองไปพบดู
>>>แล้วจะป่วนให้อีกฝ่ายรำคาญและไม่ชอบหน้า จนเลิกไปเอง
>>>แต่มันกลับไม่ใช่”
>>>
>>>"พอเห็นหน้าเฮีย กี้คิดว่า คนหล่อๆ มีพร้อมทุกอย่าง อย่างเฮียจัก
>>>ต้องไม่มองเด็กกะโปโลแบบกี้แน่ เลย
>>>เล่นอะไรบ้าๆไป แต่เรื่องมันกลับตรงข้าม เฮียเกิดตกลง ซึ่งมันบ้า
>>>บ้ามากๆด้วย
>>>มีแต่คนสิ้นคิดเท่านั้น ที่
>>>คิดจะมีแฟนแบบกี้”
>>>
>>>งั้นผมก็เป็นพวกสิ้นคิดที่สุดในโลกใช่ไหมเนี่ย...
>>>“แล้วเฮียจักก็เริ่มสร้างความประทับใจให้กี้ทีละน้อย
>>>เฮียจักก้าวเข้ามาทำความรู้จักกับกี้แบบที่ไม่เคยมี
>>>ใครคิดจะทำ
>>>
>>>ยอมไปไหนไปกัน จำตอนที่เราไปหลงป่าเมืองกาญฯได้ไหม กี้รู้สึกปลอดภัย
>>>อุ่นใจเมื่อมีเฮียอยู่ใกล้ แม้จะ
>>>ไม่แน่ใจว่าจะออกป่าไปได้ไหม พอรอดมาได้
>>>กี้ก็บอกตัวเองว่าคนนี้แหละที่เราหามานาน คนที่จะเป็นหลัก
>>>ให้ชีวิตเราต่อจากนี้
>>>
>>>มันก็จริงที่กี้ไม่ได้รักเฮียแต่แรกพบ มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รัก
>>>เพราะ...เพราะ
>>>เอ่อ เพราะกี้ไม่รู้จักว่า
>>>"รัก" มันเป็นยังไง กี้ไม่เคยมีแฟน และไม่คิดจะรักใคร
>>>ชีวิตกี้มีพร้อมทุกอย่าง
>>>กี้เลยไม่อยากใช้คำว่า
>>>“รัก” กับเฮียจัก"
>>>
>>>“แต่เฮียเป็นมากกว่านั้นค่ะ เฮียทำให้ กี้เคารพ นับถือ ศรัทธา
>>>ชื่นชมและเอ่อ
>>>เอ่อ ชอบเฮียมาก ...
>>>กี้คิดว่า มันน่าจะเกินนิยามคำว่า รัก ไปแล้วนะ
>>>เพราะรักแบบหนุ่มสาวคืออะไรกี้ก็ตอบไม่ได้ และไม่
>>>อยากสนใจมันด้วย"
>>>
>>>"กี้บอกได้แค่ว่า เฮียจักจะเป็นอีกครึ่งชีวิตของกี้ค่ะ"
>>>
>>>“เราเพิ่งเริ่มต้นกันเท่านั้นนะคะ และ .... และกี้ก็คิดว่า
>>>เฮียก็คงไม่สนเด็กอย่างกี้เท่าไหร่ ไม่เข้า
>>>ใจว่าทำไมอยู่ๆถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้ได้
>>>ตลอดเวลากี้พยายามทำตัวเหมือนน้องสาว สร้างปัญหาให้
>>>น้อยที่สุด ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเฮีย เพราะกลัวเฮียรำคาญและเบื่อ
>>>กลัวจะไม่ได้อยู่กับเฮียอีก ...”
>>>
>>>“เฮียจักหลับแล้วเหรอ”
>>>
>>>เงียบ
>>>
>>>อึ้งครับ ผมกำลังซึมซับคำพูดของเธอไว้ในหัวใจที่แห้งผากมาตั้งแต่ตอนเย็น
>>>จากคำพูดบ้าๆ ของไอ้ที
>>>
>>>ผมมันคิดมาก บ้าไปเองจริงๆ การกระทำต่างหากที่สำคัญ
>>>การที่เราได้อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ สำคัญ
>>>กว่าแค่คำที่เธอจะพูดว่า รัก หรือ ไม่รัก ผมนี่มันตาแก่คิดชะมัด
>>>
>>>ผมหันกลับไปเพื่อจะบอกเธอว่า ผมไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้นสักนิด
>>>ผมไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นน้อง
>>>
>>>แต่ช้าไป เธอเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมได้ยินเสียงฝักบัวเปิด
>>>ก็เธออาบน้ำแล้วหนิ
>>>อยู่ในชุดนอน แล้วจะ
>>>อาบน้ำอีกทำไม
>>>สักพักเธอก็ออกมา แล้วบอกผม
>>>
>>>“เฮียจักอาบน้ำซะนะ เปิดน้ำไว้ให้แล้ว”
>>>
>>>เธอก้มหน้าพูด น้ำเสียงเธอปลกไป เหมือน .... มันเหมือนคนคัดจมูก
>>>ผมรีบลุกตามเธอไปที่เครื่อง
>>>คอม จับมือเธอก่อนที่เสียบปลั๊กคอมอีกครั้ง
>>>
>>>“กี้ เฮียจักขอโทษ”
>>>
>>>เธอพยักหน้าเบาๆ แกะมืออกจากผมไปเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์
>>>แล้วกดเปิดเครื่อง
>>>
>>>ผมสังเกตว่า ตาเธอแดงก่ำ จมูกแดงด้วย ใช่เลย อาการอย่างงี้
>>>
>>>
>>>“ร้องไห้ทำไมครับคนดี”
>>>
>>>เธอส่ายหน้าช้า แล้วนั่งเก้าอี้ รอให้เครื่องรันเสร็จ หันหน้าไปอีกทาง
>>>
>>>
>>>“เฮียจักขอโทษนะครับ น๊า ยกโทษให้กันนะคร้าบ
>>>เฮียจะไม่ปากหมาอีกแล้วนะคร้าบ”
>>>
>>>เธอแอบยิ้มนิดนึง แต่ก็ทำหน้าเฉยต่อ
>>>
>>>“นะคร้าบ หันมาคุยกันดีดีนะคร้าบ เฮียขอโทษนะ
>>>เกิดมาเฮียไม่เคยง้อผู้หญิงเลยนา
>>>อายน่า หันมาเหอะ
>>>”
>>>
>>>ยังอีก งั้นต้องใช้ไม้นี้
>>>
>>>“เพื่อเป็นการไถ่โทษ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวทะเลกัน
>>>เฮียจะพาไปเล่นเครื่องร่อนด้วย
>>>ได้ไหมครับ”
>>>
>>>ได้ผล!!!
>>>
>>>
>>>“ไปดำน้ำแบบสน้อกเกิ้ลด้วยน๊า แล้วก็ต้องสอนกี้ขี่เจทสกีด้วย”
>>>
>>>“ตกลงครับ”
>>>
>>>“เย้ๆ”
>>>
>>>
>>>ฮึฮึ ดูท่าคงลืมไปแล้วว่าเธอกำลังงอนผมอยู่
>>>และเมื่อรู้ความจริงในใจแล้วแบบนี้
>>>ผมจะขอฉีกสัญญาทิ้งล่ะ
>>>นะ นักกี้ ฮึฮึ ทำตัวเป็นเสือจำศีลมานานแระ ฮึฮึฮึ
>>>
>>>“กี้”
>>>
>>>“หืม”
>>>
>>>“นอนกัน”
>>>
>>>“ไม่อ่ะ เฮียจักนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวปิดเครื่องแล้วตามไป”
>>>
>>>“ไม่เอาอ่ะ นอนคนเดียวกลัวผี ปล่อยเครื่องมันไว้งี้แหละ”
>>>
>>>
>>>ผมลุกขึ้นยืน แล้วก้มลงอุ้มเธอไปที่เตียง
>>>
>>>
>>>“เฮีย ทำไร เดินเองได้ ปล่อยน่า จั๊กจี้”
>>>
>>>เงียบ เฮ้ย แววตาแบบนี้นี่มัน ฮ่าๆ ตายแน่แล้วตรู
>>>
>>>
>>>“เฮ่ยยยย ไม่เอาน๊าเฮีย ไหนบอกจะรักษาสัญญาไง”
>>>
>>>“สัญญาไรเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย นอนเถอะ”
>>>
>>>ผมวางเธอลงบนเตียง แล้วเดินไปปิดไฟ
>>>
>>>
>>>“เฮ้ย ปิดไฟทำไม กี้กลัวความมืด”
>>>
>>>
>>>เงียบ....... แล้วที่นอนข้างตัวก็เริ่มยุบ
>>>เธอเริ่มเขยิบตัวหนี แต่ช้าไปแล้วหนู เสือจะขย่ำเหยื่อ
>>>มีรึจะปล่อยให้หลุดมือไปด้ายยยยยยยย
>>>
>>>.....
>>>..
>>>.
>>>
>>>
>>>ผมเพิ่งรู้นะ ว่าการผิดสัญญามันดีอย่างนี้นี่เอง น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว
>>>รู้ม่ะผมไม่รู้สึกผิดสักนิดเลย อิอิ
>>>
>>>
>>>กับความรู้สึกที่ผมไม่ได้พบมานาน เสือผู้หญิงอย่างผมที่ไม่คิดจะได้เจอ
>>>นักกี้บริสุทธิ์ เหมือนน้ำค้างยาม
>>>เช้า เธอเหมือนผ้าขาว ที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย
>>>และความแปลกใจนั้น กลับกลายเป็นความภูมิใจ รู้สึกเป็นเจ้าของ
>>>และหวงเธอขึ้นมาทันที ผมหวงแม้
>>>กระทั่งกับตัวผมเอง เธอดูบอบบาง น่าทะนุถนอม
>>>จนผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
>>>
>>>
>>>“กี้ โกธรเฮียไหม”
>>>
>>>“คนผิดคำพูด ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
>>>
>>>เสียงอู้อี้ดังลอดผ้าห่มออกมาจากอกผม
>>>
>>>หึหึหึ ผมหัวเราะกับตัวเอง
>>>
>>>“ปากดีแบบนี้ ต้องโดนอีกรอบ”
>>>
>>>ผมจู่โจมเธอโดยไม่ให้ทันตั้งตัวอีกครั้ง
>>>รู้สึกเจ็บรอยหยิกที่ไหล่จากมือน้อยๆ
>>>แต่แค่นี้.....เด็กๆ ใครจะ
>>>ว่าปล้ำเมียตัวเองก็ยอมล่ะ .......
>>>
>>>สวัสดีครับ ผมชื่อแจ๊คครับ ผมมีภรรยาอย่างแท้จริงมาสองเดือนแล้วครับ
>>>ชีวิตผมเหมือนเปลี่ยนจากหน้า
>>>มือกับหลังมือครับ ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของผมกับนักกี้ไม่เหมือนเดิม
>>>เธอไม่เป็นกันเองเหมือนเคย
>>>
>>>ผมว่า เธออายผมครับ และมันทำให้ผมรู้อีกอย่างว่า
>>>จากภายนอกที่ดูซ่าส์ๆนั้นแล้ว
>>>เวลาอยู่ต่อหน้าคนที่
>>>ชอบเธอจะอายมาก แต่การอายของเธอแปลกครับ เธออายแบบ ไม่สนใจคนที่เธออาย
>>>เธอไม่พูด ไม่คุย
>>>แบบกวนอีก จะเรียบร้อย จะค่ะ จะขา ซึ่งมันก็ดีน่ะนะ
>>>แต่ผมอยากได้นักกี้คนเดิมกลับมาจัง แต่สิ่งหนึ่ง
>>>เปลี่ยนไปคือแววตาครับ ผมเริ่มเรียนรู้ที่อ่านสายตาของเธอออก
>>>เธอไม่พูดมากเหมือนเคย ไม่ขี้โมโห
>>>แต่ยังคงความซุ่มซ่ามและเอ๋อไว้เหมือนเดิม
>>>และผมก็ชอบให้เธอมองผมมากกว่าพูดแล้วล่ะ เพราะ
>>>เหมือนเธอกำลังบอกรักผมอยู่น่ะสิ
>>>
>>>
>>>จนวันนึง ขณะที่ผมกำลังประชุมอยู่
>>>
>>>ปึง
>>>
>>>เสียงเท้าถีบประตูห้องประชุมดังสนั่น ทุกคนในห้องตกใจ หันไปทางต้นเสียง
>>>
>>>“คุณกี้คะ เข้าไม่ได้นะคะ ท่านกำลังประชุมอยู่ค่ะ คุณกี้ เอ่อ
>>>ขอประทานโทษค่ะ
>>>ดิฉันเตือนเธอแล้ว แต่”
>>>
>>>“ไม่เป็นไร คุณมล ขอบคุณครับ ทุกคน เชิญคอฟฟี่เบรค 5 นาทีครับ”
>>>
>>>
>>>“กี้มีอะไรรึเปล่า เฮียจักกำลังประชุมนะครับ”
>>>
>>>กระซิกๆ อะฮื่อๆๆๆๆๆๆ เธอเริ่มร้องไห้
>>>
>>>“เฮียจักคนบ้า ง่า บ้าที่สุดเลยอ่า ฮื่อออออ”
>>>
>>>“กี้ เป็นไร เฮ้ย ทำหน้าบึ้ง อยู่ดีดีก็ร้องไห้ มานี่ๆ”
>>>
>>>ผมพาเธอเข้ามาคุยในห้องทำงานส่วนตัว
>>>
>>>
>>>“อื่ออออออออออ”
>>>
>>>“เป็นไรครับ ฮึ บอกเฮียจักสิ ใครแกล้งไร โอ๋ๆ เงียบก่อนนา”
>>>ผมดึงเธอมาซบกับอก
>>>ลูบหัวพลาง
>>>ปลอบ
>>>
>>>แล้วเธอก็ชี้มาที่ผม
>>>
>>>“เฮ้ยกี้ เฮียไปแกล้งอะไร อ๋อ เรื่องเมื่อคืนกะตอนเช้าอ่ะเหรอ
>>>เฮียว่าไม่ได้ทำไรรุนแรงนา”
>>>
>>>“บ้าดิ ไม่ใช่เรื่องนั้น เฒ่าลามก!!!”
>>>
>>>เอ๋า โดนเมียด่าอีก แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ต่อ
>>>
>>>“เฮียจักทำให้กี้ไปปีนหน้าผา ไปล่องแก่ง ไปขึ้นภูไม่ได้อีกแล้ว ใจร้าย
>>>คนใจร้ายที่สุด บาบาบาๆๆๆ
>>>....”
>>>
>>>หลังจากที่เธอพูดๆๆๆๆๆๆๆๆ จนเหนื่อย แล้วตบท้ายด้วยการส่งหมัด
>>>ชกผมเข้าเต็มแรง
>>>แล้วหันหลังเดิน
>>>ออไป ทิ้งผมไว้กับความเจ็บและงง
>>>
>>>
>>>มารู้ก็ตอนถึงบ้านแล้ว พ่อแม่ทั้งฝ่ายผมและเธอ อยู่กันเต็มบ้าน
>>>วิ่งวุ่นกันไปหมด
>>>
>>>“แจ๊ค เก่งมากเลยลูกแม่ ถึงจะช้าไปบ้าง แต่ในที่สุด โฮะๆ”
>>>
>>>“พ่อแจ๊ค ขอบใจนะลูก หลานคนแรก แม่ขอผู้ชายนะลูก”
>>>
>>>“เดี๋ยวก่อนครับ นี่มันอะไรกัน ผมงงหมดแล้ว”
>>>
>>>และคำพูดเมื่อตอนกลางวันของนักกี้ก็วิ่งเข้าในสมองผม
>>>
>>>
>>>“เฮ่ย”
>>>
>>>“จริงเหรอครับ”
>>>
>>>“จ๊ะ สองเดือนแระ” แม่ผมตอบตาเป็นประกายใสปิ๊งเชียว
>>>
>>>“วะฮู้ จะได้เป็นพ่อคนละโว้ยยยยยยยยยย” ผมตะโกนออกไปอย่างไม่อายทุกคน
>>>ทั้งที่ปกติผมเป็นคนเก็บ
>>>อารมณ์นะ
>>>
>>>
>>>
>>> ชีวิตผมนับว่าเริ่มเปลี่ยนแปลงนับแต่วันที่ได้เจอเธอ
>>>และจนถึงวันนี้
>>>เจ็ดปีแล้ว ที่ผมและเธอ
>>>เดินร่วมทางกันมา และมันทำให้ผมยิ่งรักเธอมากขึ้นมากขึ้น
>>>
>>> การเดินทางของเรา มีทั้งสุขและทุกข์ เราก็ยังเป็นเพื่อน
>>>เหมือนพี่น้อง
>>>และเหมือนคู่รักที่ตามหา
>>>กันมานานหลายภพ การที่เดินไปบนทางอันแสนไกล แล้วมีมือน้อยนุ่มนิ่มให้จับไว้
>>>ช่างเป็นสิ่งที่ดี ดีมากๆ
>>>สำหรับผู้ชายคนนึง
>>>
>>>
>>>“พ่อครับ พ่อ แย่แล้วครับ”
>>>
>>>เสียงเจ้าลูกชายตัวยุ่ง วิ่ง หอบ เข้ามาในห้องทำงานผมที่บริษัท
>>>
>>>“แม่หายตัวไปอีกแล้วคร้าบ”
>>>
>>>“อ่าว ไม่อยู่บ้านย่าเหรอลูก”
>>>
>>>เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม
>>>เขียนว่า “ภูกระดึง”
>>>
>>>ผมอ่านประโยคนั้น แล้วอมยิ้ม
>>>
>>>“เจอรี่ คืนนี้นอนกับย่านะครับ เด็กดีอย่าดื้อล่ะ คุณมล
>>>ผมฝากส่งลูกกลับบ้านด้วย แล้วก็ยกเลิกนัดทุกอย่าง
>>>ของวันนี้ และอีก 2 วันด้วยนะ”
>>>
>>>“แล้วเจ้านายจะไปไหนล่ะค่ะ”
>>>
>>>“ Honeymoon
>>>แต่งเหมือนไม่ได้แต่งเลย ผม
>>>ยังคงมีชีวิตเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง ต้องย้ำว่าเกือบ
>>>เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิตส่วนตัว
>>>ผมยังคงเที่ยวกับเพื่อนคืนวันศุกร์ เมาสุดๆคืนวันเสาร์
>>>และถอนให้ออกคืนวันอาทิตย์ ไงล่ะครับ อิจฉาผม
>>>ไหม ที่มีอิสระได้อย่างนี้
>>>
>>>
>>> ภรรยาของผม เรียกแบบนี้ก็ไม่เชิงนะ
>>>เรียกว่าคนที่ผมเข้าพิธีแต่งงานด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่
>>>สวยนะครับ เธอก็สวยเหมือนผู้หญิงทั่วไป...
>>>ผมว่าเธอก็น่ารักแบบไม่เหมือนใครดีนะ
>>>แต่เพื่อนมันบอก
>>>“กรูเห็นหน้าแล้วเจี๊ยะบ่โละว่ะ” (เห็นแล้วกระเดือกไม่ลง)
>>>เธอไม่ใช่คนสวยแบบนางงาม ที่หุ่นสวย
>>>หน้าใส ท่าทางสง่า พูดจาไพเราะ มารยาทอ่อนหวาน เป็นแม่บ้านแม่เรือน ....
>>>ทุกอย่างที่ผมพูดมานั่น
>>>ตรงข้ามหมดเลยครับ
>>>
>>>
>>> เธอชื่อ นักกี้ครับ เธอบอกให้ผมเรียกสั้นๆว่า กี้
>>>และเธอจะเรียกผมว่า
>>>จัก เพราะชื่อฝรั่ง
>>>ไป ไม่เหมาะกับหน้าไทยแบบผม ดูปากเธอสิ
>>>กัดกันตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอและนี่คงเป็นเสน่ห์ของเธอ
>>>อย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมตกลงแต่งงานกับเธอทันทีหลังจากวันดูตัว
>>>
>>>ทั้งที่ในวันนั้น......
>>>
>>>“โธ่ลุง อย่ามาแต่งกะหนูเล้ย ลุงดูนะ หน้าตาก็ไม่สวย แค่น่ารักปานกลาง
>>>หุ่นก็ไม่บองบาง ติดจะล่ำซำ
>>>ไขมัน นี่ๆเห็นอะไรไหมฟันเกตรงมุมปากเนี่ย เขี้ยวซ้อนแหลมๆเนี่ย
>>>ผู้หญิงฟันซ้อนกัน โหหหห ไม่น่ายุ่ง
>>>หรอก หนูทำกับข้าวก็ไม่เป็น ไม้กวาดไม่เคยจับ ไม้ถูพื้นไม่คิดแตะ
>>>ซักผ้าก็ส่งร้าน
>>>
>>> เอางี้ หนูลุงให้ 20 คนเลย เนี่ยะ รายชื่อพร้อมเบอร์โทร กะที่อยู่
>>>ลุงเลือกเลยจะเอาคน
>>>ไหน เดี๋ยวติดต่อให้ ขอบอกโสดๆ สวยๆ ทั้งนั้น เพื่อนหนูเอง คุยกันได้
>>>นี่ๆๆ
>>>เอาไปเลย”
>>>
>>>ผมมองเธอยิ้มๆ และคงเผลอมองนานไปหน่อย
>>>
>>>
>>> “อ่าวลุง ไม่ขำนะ น้อยไปเหรอ อืมมม ขอคิดแป๊ปนะ เอางี้ ให้อีก 20
>>>เลย
>>>แต่คราวนี้เป็นรุ่น
>>>น้องนะ ตอนนี้อยู่ปี 2 กะ 3 รับรองโสด สด สวย แต่ไม่รู้จะซิงรึเปล่า
>>>่ขอเวลาวันนึงหาที่อยู่กะเบอร์ให้
>>>”
>>>
>>>
>>> ครับ เธอพยายามติดสินบน ไม่ให้ผมแต่งงานกับเธอ ด้วยรายชื่อ
>>>ที่อยู่พร้อมเบอร์โทร.สาว ก๊า
>>>กกๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นโว้ย นี่ถ้าผมบ้าจี้รับข้อเสนอนี้ไป
>>>ไม่กลายเป็นพวกค้าหญิงส่งออกรึ จะบ้าตาย
>>>แม่สื่อเขาคิดอะไรของเค้านะถึงมาจับคู่ผมกับเธอ
>>>
>>>
>>>หลังจากปล่อยให้เธอพล่ามข้อเสนอ สินบนไปจนเหนื่อยเอง
>>>โดยมีผมนั่งยิ้มมองเธออย่างเดียว ยังไม่พูด
>>>สักคำ ดูไปแล้วท่าทางเหมือนคนขายประกันจริงๆ
>>>
>>> พอพูดจนเหนื่อย เธอก็ยกกาแฟเย็นดูดรวดเดียวหมดแก้ว
>>>เอาหลังมือเช็ดปากแบบลวกๆ ติดจะ
>>>เรอหน่อยๆนะ ถ้าได้ยินไม่ผิด
>>>
>>>
>>> “ตกลกไม่แต่งกะหนูนะ จะได้บอกมัมกะแด้ดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว
>>>ส่วนเรื่องรายชื่อเอาไปหมด
>>>เลยละกัน ทั้ง 40 เนี่ยแหละ แล้วถ้าสนคนไหน โทรบอกหนูที่เบอร์นี้นะ
>>>ฮี่ๆ “
>>>เธอหยิบปากกาเขียน
>>>หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ลงกระดาษโน้ต
>>>
>>>“อ่ะ โทรได้ตั้งแต่ สิบโมงเช้า ถึง สี่ทุ่ม”
>>>
>>>มีเวลาเปิดปิดด้วยแฮะ
>>>
>>>“ไปนะค๊า หวัดดีค่า หวังว่าคงไม่เจอกันอีก ทั้งชาตินี้ หรือชาติไหน
>>>แล้วนี่ค่ากาแฟของหนู อีก 5 บาท
>>>ไม่ต้องทอน ติ๊บให้”
>>>
>>>
>>> ครับ สินบนสำหรับการไม่แต่งกับเธอคือ รายชื่อพร้อมที่อยู่ เบอร์
>>>กับเงินอีก 5 บาท อืม คุณคิดว่า
>>>ผมควรรับข้อเสนอหล่อนไหมเนี่ยยยย
>>>
>>>
>>>วันต่อมา ไม่รู้ผมคิดยังไงถึงกดเบอร์โทรเธอ อารายยย
>>>ก็เบอร์มันติดมากับโทรศัพท์เท่านั้นเอง คิดมากๆ
>>>
>>>“สวัสดีครับ นักกี้”
>>>
>>>“อืมมมมมมมม”
>>>
>>> ขณะนั้นผมจำได้ว่าเป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมง
>>> แต่เสียงเธอดูเหมือนสะลึมสะลือ
>>>
>>>“ว่างไหมครับ คุยกันหน่อยสิ”
>>>
>>>“ไม่ว่าง คนจะนอน ไว้โทรมาใหม่นะ ฝากเบอร์กะชื่อไว้
>>>โทรกลับไม่โทรอีกเรื่อง
>>>แค่นี้นะ”
>>>
>>> เฮ้ย นี่มันบ่ายสองนะขอรับ ว่าที่เจ้าสาวของผม เธอยังไม่ตื่นนอน
>>>ว่าจะบอกข่าวดีซะหน่อย ว่า
>>>....
>>>
>>>
>>> ........ ที่บ้านฝ่ายหญิง......
>>>“ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ คุณพี่ขา ในที่สุด ในที่สุด”
>>>
>>>“ใช่ คุณน้องครับ ในที่สุด ในที่สุด”
>>>
>>>“ยายหนูก็ขายออก ไชโย้ๆๆๆๆๆๆๆ”
>>> เสียงพ่อกับแม่ฝ่ายหญิงพูด น่าจะเป็นตะโกนขึ้นพร้อมกัน
>>>
>>>“คุณนายขา เป็นอะไรไปคะ” เสียงสาวใช้รีบวิ่งออกมา
>>>
>>>“นี่ จุ๋ม แจ๋ว แหวว เธอรู้ไหม ยายหนูจะได้แต่งงานแล้วนะ
>>>ที่ไปดูตัววันก่อนน่ะ
>>>ฝ่ายชายเขาตกลงแหละ
>>>นี่ๆ เธอต้องแนะนำชั้นนะ ว่าพระวัดไหนดูฤกษ์เก่ง จะได้ไปผูกดวงกัน อะฮู้ยยย
>>>ตื่นเต้นๆ”
>>>
>>> สาวใช้ทั้งสามคนมองตากันด้วยความยินดีไม่แพ้คุณนาย ในที่สุด
>>>คุณหนูบ้านเราก็ขายออก เย้ๆ
>>>
>>>
>>> ครับ ว่าที่เจ้าสาวของผมเป็นลูกสาวคนเดียว ทางบ้านของเธอกับผม
>>>รู้จักเป็นคู่ค้าทางธุรกิจและ
>>>เพื่อนกันสมัยรุ่นพ่อและแม่
>>>
>>> ก่อนที่ผมจะรู้ว่ามีการดูตัว พ่อบอกให้ผมไปพบลูกค้า
>>>แต่พอเธอเดินมาหย่อนก้นลงยังไม่ทันร้อน
>>>ก็ร่ายมาขนาดนี้ ผมรู้ว่าผมโดนเข้าแล้ว ทั้งที่พยายามบอกปฏิเสธเท่าไหร่
>>>ก็ผมมันสามสิบแล้วนี่ครับ แต่
>>>ขอบอกยังโสดและหน้าตาดีด้วยนะเออ
>>>
>>>
>>> เรื่องตลกที่สุดคือ วันหมั้น
>>>
>>> ก็วันหลังจากที่เธออะละวาดบ้านพัง หนีออกจากบ้านไปได้เกือบวัน
>>>เพราะมีเงินติดตัว 50 บาท
>>>และนอน และนอน รวมทั้งหมดเป็นเวลา 2 วัน
>>>
>>> ทางบ้านของผมและเธอช่วยกันหาฤกษ์ที่ดีและสะดวก เพราะ1.
>>>หมอดูบอกว่า
>>>ถ้าผมและเธอ
>>>ไม่แต่งงานปีนี้ จะไม่ได้แต่งอีกเลยตลอดชีวิต 2. แม่อยากอุ้มหลาน 3.
>>>แม่อยากได้ลูกสะใภ้ 4. แม่
>>>อยากให้ผมแต่งงาน 5. ญาติๆอยากให้ผมเลิกทำตัวเจ้าชู้ไก่แจ้
>>>จีบดะไม่เว้นลูกพี่ลูกน้อง แล้วหักอกแบบ
>>>ไม่ไว้หน้า สรุป มีแต่คนรอบข้างอยากให้ทำ แต่ผมไม่ใช่พวกตามใจแม่หรอกนะ
>>>ตอนนั้นผมแค่นึกสนุกอยาก
>>>แกล้งเธอเท่านั้น
>>>
>>>
>>>“มัมขา ไม่แต่งไม่ได้เหยอ หนูยังเด็กอยู่เลยนะค๊า เรียนก็ยังไม่จบ”
>>>เธออิดออด
>>>
>>>“ก็ยังไม่แต่งนี่คะ แค่หมั้น” คุณแม่พูดขึ้น
>>>
>>>“งั้นแสดงว่าไม่แต่งก็ได้ หมั้นได้ก็ถอนได้ ใช่ไหมคะ”
>>>เธอพูดดวงตาเป็นประกาย
>>>
>>>“ไม่ได้ค่ะ ถ้าหนูไม่แต่ง บ้านเรา ฮือ บ้านเราต้อง ฮือ
>>>ต้องล้มละลายนะคะ”
>>>รู้สึกมัมจะตีบทแตกไป
>>>หน่อย มัมรีบเช็ดน้ำตา เพราะพี่แจ๋วเข้ามาเรียกแล้ว
>>>
>>>“คุณนายขา ข้างล่างพร้อมแล้วค่ะ”
>>>
>>> "ไม่ต้องกลัวยายหนู ไปขึ้นเขียง เอ๊ย ลงไปข้างล่างกันลูก"
>>>
>>>
>>>วันนั้นผมจำได้ว่าตาไม่ได้ฝาด
>>>แต่เหมือนได้เห็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อน
>>>เธอดูสง่างาม
>>>สวยในชุดไทยสีครีม คุณแม่เธอจูงมือลงบันไดมา และส่งมือเธอให้ผม พาเธอไปนั่ง
>>>ตรงพิธี
>>>
>>>คำแรกที่เธอทักทายผมคือ
>>>
>>>“มองไรลุง ไม่เคยเห็นนางเอกลิเกรึไง”
>>>
>>>แค่นั้นล่ะครับ ทำผมหัวเราะพรืดออกมาต่อหน้าผู้ใหญ่ อาการสำรวมหายหม้ด
>>>คนอุตส่าห์เก็ก...
>>>
>>>หลังจากผู้ใหญ่ทำพิธีกันเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องสวมแหวนหมั้นให้เธอ
>>>แหวนเพชรน้ำงามถูกเลื่อนลงไป
>>>อยู่ในนิ้วนางข้างขวาของเธอ แต่...ก่อนที่มันจะถูกสวมนั้นสิ
>>>
>>>“ลุง เปลี่ยนวงได้ม่ะ กลัวทำหายอ่ะ นะลุงนะ หายมาแล้วยุ่งนา”
>>>เธอกระซิบกับผมเบา
>>>
>>>ผมอมยิ้ม กับท่าทางของเธอ แล้วจับมือเธอมาสวมอย่างสบาย
>>>ท่ามกลางการดึงมือกลับเป็นระยะ
>>>เสร็จแล้ว ก็ถ่ายรูปกัน ซึ่ง
>>>
>>>“เดี๋ยวๆ ช่างถาพ ไม่เอารูปปึกๆนะ เอ้า ทุกคนคะ ไม่ต้องยืดตัวตรง
>>>นั่งเกร็งค่ะ
>>>เอาแบบสบายๆ รูป
>>>จะได้ออกมาสวยๆ นี่ วัดแสงรึยัง ใช้ได้ล่ะนะ”
>>>
>>>แล้วก็รีบวิ่งกลับมานั่ง ฉีกยิ้มแก้มป่อง ดูเค้าทำสิ
>>>ผมเพิ่งมารู้หลังแต่งงานเดือนแรกว่า เธอเป็นนักถ่าย
>>>รูปสมัครเล่น มิน่า...
>>>
>>>
>>> ระหว่างงานฉลองเธอเดินมาถามผมว่าจะหมั้นกันสัก 3 ปีได้ไหม
>>>ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย และถามว่า
>>>ทำไม
>>>
>>>เธอบอกว่า ปีแรกรับปริญญา ปีที่สองขอเวลาค้นหาตัวเอง
>>>ปีที่สามชีวิตคงเข้าร่องเข้ารอยขึ้น
>>>
>>>ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับเหตุผลของเธอ แล้วชู สามนิ้ว เธอยิ้มแก้มป่อง
>>>แทบจะกระโดดกอดผมทีเดียว
>>>ก่อนที่จะพูดว่า “สามเดือน” นั่นล่ะครับ แม่คุณโวยทันที
>>>
>>>
>>> “จะบ้าเหรอ สามเดือน ใครมันจะทำอะไรทัน นี่ลุงจะรีบไปไหน ห๊า
>>>อยากแต่งงานขนาดนี้ทำไม
>>>ไม่แต่งไปซะนานแล้ว อายุก็ปูนนี้ อยู่บนคานทำไมนานนัก ห๊า!!!
>>>ก็บอกว่ายังเรียนไม่จบ เข้าใจไหม”
>>>
>>>
>>> “ก็เดือนหน้าจะรับปริญญาไม่ใช่เหรอครับ นักกี้”
>>>
>>>เธอทำเสียง จิปาก
>>>
>>>“ก็ตอนนี้มันยังเรียนไม่จบ นี่เข้าข่ายพรากผู้เยาว์นะบอกให้”
>>>
>>>ฮ่าๆ ผู้เยาว์สิ อายุ 21 น่ะ ผู้เยาว์ หรือ ผู้สาวคร้าบบบบบ
>>>ขำกับมุขแกน
>>>ที่ไหลไปได้
>>>
>>>“แล้วที่ผมยังไม่แต่ง ก็คงเพราะรอมาเจอนักกี้มั้งครับ เจอปุ๊ป ถูกใจ
>>>แต่งปั๊ปไงครับ”
>>>
>>>“เฮ่อ ตาแก่โรคจิต หัวงู เอาเปรียบผู้หญิง บังคับขืนใจ
>>>กระทำชำเราหน้าด้านๆ......”
>>>
>>> อูยๆ มาเป็นชุด นี่ดีนะ ยืนคุยกันที่สวน
>>>ไม่ค่อยมีคนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็คำพูดแต่ละคำที่
>>>เธอใช้สิ อย่างกับผมไปทำอะไรร้ายแรงงั้นล่ะ ฝ่ายเธอเหรอ
>>>ทำหน้าหักไปตลอดงานเชียว
>>>
>>>จากนั้นผมชวนเธอเข้าบ้านกัน เพราะแดดเริ่มร้อนแล้ว
>>>และคงเหมือนโรคติดต่อที่เธอเห็นผมหัวเราะ
>>>เลยหัวเราะบ้าง
>>>
>>> “ขำไรนักหนา คนแก่เส้นตื้น”
>>>
>>>ฮ่าๆ นั่น ยัยเด็กเส้นตื้นกว่า หัวเราะตาม
>>>
>>>
>>> หลังจากวันหมั้นยังไม่ถึงสัปดาห์ เหตุการณ์เป็นตามที่ผมคาดไว้
>>>นักกี้ใช้ชีวิตโสดจนคุ้มจริงๆ ครับ
>>>เธอนอน และนอน และนอน โทรไปทีไร นอนทุ้กที
>>>แต่เพิ่งมารู้จากว่าที่แม่ว่า
>>>ไอ้ที่นอนน่ะ นอนนอกบ้าน
>>>นะ
>>>
>>>
>>>“พ่อแจ็คช่วยแม่ด้วยเถอะ ยายหนูไปเชียงรายมาสามวันแล้วยังไม่กลับเลย
>>>แม่เป็นห่วง”
>>>
>>>แม่เธอพูดเสียงเศร้าๆ ตีบทแตกตามเคย
>>>
>>>“ตามไปดูน้องให้แม่หน่อยนะลูก”
>>>
>>>
>>>ไอ้กระผมก็จำใจต้องตามไปดูแลคู่หมั้น...ด้วยความเต็มใจ เยี่ยม!!
>>>ได้โอกาสโดดงาน หนีเที่ยว
>>>หลังจากสั่งงานเลขา และเคลียร์งานแล้ว คืนนั้นผมโทรหาเธอ ถามว่าอยู่ไหน
>>>และไปนั่งเครื่องหาถึงที่
>>>พอไปถึง แม่คนนั้นอึ้งครับ ตกใจเหมือนเห็นผีกระหัง
>>>
>>>“เฮ่ย ลุง มาทำไม เที่ยวเหรอ”
>>>
>>>“มาตามเรากลับบ้านเราไง”
>>>
>>>“ไม่!!! ยังไม่ถึงเวลา นี่กี้จองตั๋วไปเมืองกาญฯต่อแล้ว จะไปหลงป่า
>>>บอกมัมกะแด้ดด้วย ยังไงก็ไม่กลับ
>>>”
>>>
>>>“น่าสนใจ ไปด้วยสิ”
>>>
>>>เธอมองหน้าผมแบบสยองๆ ท่าทางเห็นตัวประหลาด แล้วส่ายหน้า หยิกแก้ม
>>>แคะขี้หูเหมือนไม่เชื่อหูตัว
>>>เอง
>>>
>>>“ได้ยินไม่ผิดหรอก ไปด้วย”
>>>
>>>“โฮ่ เพิงเคยเห็นคนแก่กระสันอยากเที่ยว เป็นบุญตาจริงจริ๊ง”
>>>
>>>
>>> ผมขยี้หัวเธอด้วยความหมั่นไส้ ปากดีนักนะ เดี๋ยวก็เจอดีหรอก….
>>>อารายๆๆๆ
>>>เค้าเป็นคู่หมั้นกัน
>>>แล้ว อย่ามาแซวกันน่าคนอ่าน….
>>>
>>>
>>>สองสัปดาห์ต่อจากนั้น เราหมายถึงผมกับเธอ เราตะลอนเที่ยวทั่วไทยจริงๆ
>>>ทั้งขึ้นเขา ลงแพ ล่อง
>>>แก่ง ลงทะเล ดำน้ำ นอนฟังเสียงคลื่น
>>>
>>> ก็เพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่า เธอเป็นนักเที่ยวตัวยงแต่ติดแนวเก็บกด
>>>เหมือนคนไม่ได้เที่ยวมานาน พอมี
>>>โอกาส เป็นตะลอนจนลืมเหนื่อย และที่ติดตัวเธอตลอดคือ
>>>กล้องถ่ายรูปรุ่นเก่า
>>>ที่เป็นแบบกึ่งauto เจอ
>>>อะไร พี่เป็นถ่ายดะ ดูหน้าเธอตอนได้ถือกล้องแล้ว เหมือนเด็กได้อมยิ้ม
>>>น่ามอง
>>>น่ารักจริงๆ
>>>
>>>“เออ อย่างงั้นแหละจ้า นิ่งๆ ท่านั้นเลย (แชะ) ขอบใจมากนะ ลุง
>>>ยืมตังค์20
>>>จะเอาให้เด็ก ”
>>>
>>>“ของตัวเองอ่ะ”
>>>
>>>“ขี้เกียจล้วงอยู่ในถุง เอาของลุงนั่นล่ะ อย่าหนืดน่า เด๋วกินข้าวเอาให้
>>>เร็วดิ๊ เด็กรอ เห็นไหม”
>>>
>>>คุณครับ นี่เข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์รึเปล่าครับ ....
>>>และแล้ววันแต่งงานก็มาถึง
>>>
>>>“เฮียจัก ไม่แต่งไม่ได้เหรอ กี้ขอใช้ชีวิตเหมือนคนกะเค้าอีกหน่อยน๊า
>>>น๊าเฮียจักคนดี๊คนดี คนน่าร้าก คน
>>>หล่อที่สู้ดดดเลย”
>>>
>>>เริ่มเปลี่ยนจากลุงเป็นเฮีย และเริ่มแทนตัวเองด้วยชื่อ แหมะ
>>>ผมชอบจังเวลาเธอเรียกชื่อตัวเองเนี่ย
>>>ฟังแล้วไพเราะเสนาะหู
>>>
>>>“คิดมากน่า กี้ ถึงจะแต่งงานแล้ว ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนี่ครับ
>>>กี้ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิมล่ะ”
>>>
>>>“จริงดิ!!!!!!! ไม่ต้องทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้าน ซักผ้า
>>>เปลี่ยนปลอกหมอนผ้าปูที่นอน”
>>>
>>>“บ้านพี่ มีคนทำงานพวกนี้ครับ”
>>>
>>>“เจ๋ง!!!!! งั้นก็นอนกลางวันได้ ออกไปถ่ายรูปได้ ดูหนังได้
>>>ไปค่ายอาสาได้”
>>>
>>>ผมผงกหัว กับกิจกรรมทั้งหลาย
>>>
>>>“แต่ต้องมีพี่ไปด้วย” เธอหน้างิกทันที
>>>
>>>“เรื่องไรปล่อยให้เราไปสนุกคนเดียว”
>>>
>>>ผมพูดยิ้ม แล้วขยี้ผมเธอด้วยความมันเขี้ยว เธอเลยแล่บลิ้น แบร่
>>>
>>>
>>>
>>> วันแต่งงานของเรา
>>> เป็นวันที่เหนื่อยและสนุกที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม
>>>นิกกี้แปลงร่างอีก
>>>แล้วครับ คราวนี้ยิ่งกว่าวันหมั้นอีก เหมือนไม่ใช่นักกี้ที่ผมรู้จัก
>>>ใครเอายายนักกี้จอมยุ่ง จอมซ่าส์ จอม
>>>ซุ่มซ่าม ยัยเอ๋อของผมไปไหน แล้วผู้หญิงสวย บาดตาบาดใจ
>>>ที่ยืนตรงหน้าผมนี่ใคร
>>>
>>>“คุณแจ็ค ถึงกับตะลึงเลยเหรอค๊า
>>>เจ๊แต่งเองก็ยังทึ่งกับฝีมือตัวเองเลยค๊า
>>>แหมน้องกี้น่าจะแต่งหน้าบ่อยๆ
>>>นะคะเนี่ย”
>>>
>>>ช่างแต่งหน้าเพื่อนเธอทักกับอาการตะลึงของผม และถ้ามองไม่ผิด
>>>ผมเห็นเธออายผมนะ
>>>อิอิ ดูสิ หน้า
>>>แดงแข่งกะแก้มเชียว
>>>
>>>
>>>ช่วงเช้าเราทำพิธีแบบไทย มีการสู่ขอที่บ้านฝ่ายหญิง
>>>และตอนเย็นมีงานเลี้ยงที่โรงแรม เจ้าสาวของผม
>>>วันนี้เธอสวยมากจริงๆครับ ผมไม่เคยเห็นนักกี้ตอนแต่งหน้า
>>>แต่งตัวแบบเจ้าหญิงมาก่อน
>>>
>>>รู้ไหมครับ ประโยคแรกที่เธอทักผมในงานตอนเช้าคืออะไร
>>>
>>>“มองอยู่ได้เฮียจัก ไม่เคยดูละครช่อง 7 ตอนเช้าวันเสาร์รึไง แน่ะ
>>>ยังมองอีก
>>>วุ้ยยย”
>>>
>>>ฮ่าๆ ประโยคเด็ดละลายอาการขรึมของผมได้เช่นเคย
>>>
>>>และประโยคแรกในตอนเย็น ที่เจ้าหญิงชุดขาวทักผมคือ
>>>
>>>“โรคจิต!! ทำยังกะไม่เคยอ่านซินเดอเรล่า”
>>>
>>>คนพูดหน้ามุ้ย แล้วเดินดุ่มๆ ออกไป ถลกกระโปรงยาวเดินเข้างาน
>>>คงจะดีถ้าแม่คุณไม่สะดุดขาเก้าอี้
>>>หรือขาโต๊ะ นั่นๆ ว่ายังทันขาดคำ ล้มโต๊ะไปแล้วหนึ่ง ...
>>>
>>>
>>> ในงานนี้ ทั้งเพื่อนของผมและเธอต่างทำหน้าไม่เชื่อ เมื่อได้รับการ์ด
>>>แม้จะมาอยู่ในงานแล้ว ก็ยัง
>>>ทำหน้าเอ๋อกันไม่หาย ไอ้ที เพื่อนสนิทผม คบกันมาตั้งแต่เรียนมอปลาย
>>>มันยังว่า
>>>
>>>“ไอ้แจ็ค เอาจริงเหรอวะ ข้าว่า รายนี้มันไม่ใช่สเปคเอ็งนา”
>>>
>>>“นั่นสิ พี่แจ็คขา ถ้าถูกพ่อแม่บังคับ หรือขู่จะยึดเงิน
>>>บอกแนนนี่ได้นะคะ
>>>แนนนี่ให้ยืมก่อนก็ได้”
>>>
>>>“แจ็ค นี่คุณเสียสติรึเปล่า คิดไงเอาเด็กกะโปโลแบบนี้มาเป็นเมีย ต้องสวย
>>>เริ่ด
>>>ไฮโซ แบบชั้นสิ คุณ
>>>ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
>>>
>>>และอีกสารพัดประโยคที่ผมเจอในงาน ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ว่า
>>>ผมไม่ได้ถูกพ่อแม่บังคับนะ แต่ง
>>>งานกับนิกกี้ด้วยความเต็มใจ ตอนแรกก็เพราะแค่อยากแกล้งเธอเท่านั้น
>>>และว่าจะถอนหมั้นซะในช่วง
>>>เวลาที่หมั้นกันไว้
>>>
>>>แต่เมื่อได้รู้จักเธอแล้ว ผมกลับเป็นฝ่ายถอนตัวจากเธอไม่ได้
>>>
>>>ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะ เราคบกันเหมือนพี่น้อง เหมือนเพื่อนน่ะ
>>>
>>>ไอ้ที น้องแนนนี่ และ แพทตี้ยังทำหน้าไม่เชื่อ กับสิ่งที่ได้ยินนัก
>>>สักพักที่ผมรู้สึกว่า ที่ตรงข้างกายจะว่าง
>>>นานไปแล้ว จึงขอตัวไปตามหาเจ้าสาว
>>>
>>>“ดูมันเห่อเมีย วู้ๆ ไอ้ปลาไหลโดนใบข่อยดักโว้ย วู้วววว”
>>>ไอ้ทีแซวตามหลัง
>>>ผมไม่สนใจกับคำพูดของ
>>>เพื่อน เป้าหมายของผมอยู่นั่นไง
>>>
>>>
>>>อ้อ เธออยู่ที่โต๊ะเพื่อนเธอ โต๊ะที่เสียงดังที่สุดในงาน
>>>เมื่อผมเดินเข้าไปจึงได้ยินเสียง โฮ่ ฮิ้ว มาแต่ไกล
>>>ทั้งโต๊ะมีสมาชิกทั้งหญิงและชาย และสาวๆในโต๊ะนั้น
>>>สวย สวยมากๆ ขอย้ำ สวยมากๆ
>>>
>>> นี่ผมคิดผิดใช่ไหมที่ไม่รับข้อเสนอของนักกี้ในวันแรก...
>>>
>>>
>>>“เฮียจัก มาพอดี นี่ ขอแนะนำเพื่อน และน้องให้รู้จัก เริ่มจากทางขวาคือ
>>>แอน
>>>อุ๋ม อ้อน อุ้ม ไก่ โชค
>>>แวว แมน แล้วทุกคน นี่เฮียจัก”
>>>
>>>“ดีคร้าบบบบ ดีค่ะ”
>>>
>>>ทุกคนยกมือไหว้ผมทันที จะไหว้ทำไมฟร่ะ ไม่ได้แก่ไรขนาดนั้นสักหน่อย
>>>นักกี้หลิ่วตามองผมแซวๆ ว่า
>>>แก่แล้วนะ ลุงน่ะ ผมทักทายทุกคนสักพักก็พาเจ้าสาวเดินไปโต๊ะอื่น
>>>ระหว่างทาง
>>>เธอหัวเราะและมองผม
>>>อย่างสมน้ำหน้า
>>>
>>>
>>>“เห็นมั้ยล่า กี้เสนอไปแล้วนา เฮียจักไม่รับเอง เสียดายล่ะสิ๊”
>>>
>>>“ก้อ นิดหน่อยนะตามประสาผู้ชาย”
>>>
>>>“ฮ่า สมน้ำหน้า นี่ถ้าตกลงนะ ป่านนี้สบายไปแล้ว ไม่ต้องมาตก
>>>ระกำอะไรกับกี้หร้อก”
>>>
>>> โป๊ก ผมเขกหัวเธอไปทีด้วยความหมั่นไส้ ใครบอกว่าตกระกำ ลำบาก
>>>ผมได้เจอกับสิ่งที่คนอื่นจะ
>>>ไม่ได้ตะหาก
>>>
>>>
>>> และคืนวันส่งตัวนั่นเอง หลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งตัวเข้าห้องหอ
>>>ที่เรือนหอ
>>>บ้านที่ปลูกแยกมาจากบ้านผม
>>>ในพื้นที่เดียวกัน ไม่ไกลนัก
>>>
>>>
>>>“แด้ดขา มัมขา อย่าทิ้งกี้ไปนะ อยู่ด้วยกันก่อนอ่ะ”
>>>
>>>หนวดปลาหมึกที่ชื่อนักกี้เกาะพ่อแม่ไว้แน่น
>>>
>>>“ยายหนูไม่ต้องกลัวหรอกลูก อย่างที่แม่สอนไงคะ โอเคนะ นะ” แม่ทำท่าโอเค
>>>
>>>“นั่นสิหนูกี้ พี่เขาไม่ได้จะฆ่าจะแกงหนูหรอกจ๊ะ ครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะ
>>>แม่จะได้อุ้มหลานสักที ทำเพื่อแม่นะ
>>>ลูกนะ”
>>>
>>>แม่ผมที่รักลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองพยายามปลอบใจ
>>>
>>>“ผมว่า เราเลื่อนวันส่งตัวไปก่อนไม่ดีเหรอคุณน้อง ลูกหน้าซีดๆ
>>>สงสัยจะไม่สบายนะ” พ่อเธอเริ่มออก
>>>อาการ
>>>
>>>“เอ๊ะ คุณนี่ จะมาหวงลูกสาวอะไรนาทีสุดท้าย ไปๆ ออกไปกันเถอะค่ะ คุณพี่
>>>เชิญค่ะ
>>>ให้บ่าวสาวได้พัก
>>>ผ่อนกัน”
>>>
>>>"แด้ด มัม เดี๋ยวอย่าเพิ่งปายยยย อย่าทิ้งหนูไว้น๊าาาาาาาาาาา”
>>>
>>>ปัง!!!! ประตูปิดลง
>>>
>>>เธอหันกลับมามองผมด้วยแววตาหวาดกลัว
>>>
>>>ฮะ ท่าทางเหมือนลูกแมวตัวน้อย แล้วเจ้าลูกหมาจอมซ่าส์ หายไปแล้วครับ
>>>แม่คุณ
>>>ดูแววตาสิ เหมือน
>>>ผมเป็นตัวประหลาดน่ากลัวซะเหลือเกิน
>>>
>>>เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วยื่นเอาผ้าเช็ดตัวให้ผม
>>>
>>>“เฮียจักอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวกี้จะเล่นคอมก่อน”
>>>
>>>“เอางั้นเหรอ ตามใจนะ”
>>>
>>>แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำไป
>>>อันที่จริงผมก็ไม่ได้หื่นกระหายใคร่ได้เธอนักหรอกครับ
>>>ผมยังไม่อยากได้ชื่อว่า
>>>เป็นพวกข่มขืนภรรยาตัวเอง ไม่ชอบบังคับใคร ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็สมยอม
>>>มือระดับนี้ ไม่อยากทำร้าย
>>>ใคร ถ้าจะเอา คงเอาไปนานแล้ว หุหุหุ
>>>
>>>
>>>และตามที่ผมคิดไว้
>>>
>>>
>>>ทันทีที่ผมก้าวออกจากห้องน้ำปุ๊ป เธอรีบวิ่งสวนเข้าไปปั๊ป
>>>หอบสารพัดเสื้อผ้า
>>>นี่เธอจะซักผ้าตอนกลาง
>>>คืนรึไง
>>>
>>>
>>>เวลาผ่านไป ....นาน นาน นาน และนาน
>>>
>>>
>>>ผมเช็คเมลล์ก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว นั่งเล่นก็แล้ว รอแล้วรออีก
>>>เธอก็ยังไม่ออกมา เลยปิดไฟข้างผม
>>>เดินไปบอกเธอหน้าประตูห้องน้ำว่า
>>>
>>>“พี่หลับก่อนนะครับ อย่านอนในนั้นเลย
>>>ออกมานอนด้วยกันบนที่นอนนุ่มๆดีกว่า
>>>ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ไม่ทำ
>>>อะไรเราหรอก”
>>>
>>>...ได้ผล ...
>>>
>>>เธอค่อยๆเปิดประตูห้องน้ำออกมา ด้วยชุดที่ .... เอ่อะ
>>>ผมว่ามันไม่ใช่ฤดูหนาวนะ
>>>แต่ดูเสื้อผ้าเธอใส่สิ
>>>เหลือรับประทานจริงๆ
>>>
>>>
>>>“ฮ่าๆ กี้หนาวเหรอ ดู ใส่เข้าไปได้ไง กลัวพี่เหรอครับ”
>>>
>>>ลูกแมวน้อยผงกหัวรับ แววตาระแวงผมสุดขีด
>>>
>>>เฮ้อ หลังจากเช็ดเครื่องสำอาง อาบน้ำสระผมแล้ว เธอก็กลับเป็นยัยนักกี้
>>>ลูกแมวน้อยจอมกวน ที่ตอนนี้
>>>ซ่าส์ไม่ออกไปแล้ว
>>>
>>>เธอเดินมายืนชิดขอบเตียง ขณะที่ล้มตัวลงนอนแล้ว
>>>
>>>“เฮียจักต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรกี้”
>>>
>>>“หืม! อืม ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำอะไรกี้ ถ้ากี้ไม่ทำอะไรพี่”
>>>
>>>“เฮ้ย พูดงี้หมายความว่าไง หาว่ากี้จะหน้ามืดไปข่มขืนเฮียรึไง
>>>พูดงี้มาต่อยกันเลยม่ะ”
>>>
>>>แต่ผมง่วงเกินกว่าจะทะเลาะกับเธอแล้ววันนี้
>>>
>>>“วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ พี่ง่วงแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเล่นกันใหม่นะ
>>>นอนล่ะ”
>>>
>>>แล้วผมก็ปิดไฟ นอนหันหลังให้เธอ
>>>เธอรีๆรอๆ สักพักใหญ่ คงดูว่าผมหลับจริงไหม
>>>เมื่อไม่รู้สึกที่นอนข้างๆมันหยุบสักทีผมเลยแกล้งกรน
>>>
>>>
>>>ครับ ผม(แกล้ง)หลับไปสักพักใหญ่ ก็ลุกมาดูว่าเธอนอนตรงไหน
>>>เธอไม่นอนเตียงกับผมครับ เธอนอนบ
>>>นพื้นข้างเตียง เอาหมอนและหมอนข้างไปเรียบร้อย ......ทุ่มทุนสร้างจริงๆ
>>>
>>>
>>>เฮ้อ ยัยลูกแววน้อยจอมซ่าส์เอ๊ย ผมมองเธอด้วยความเอ็นดู อ่ะ
>>>แค่เอ็นดูหรอกนะ
>>>ผมไม่ได้รักเธอ
>>>หรอก แค่สงสารเลยอุ้มเธอขึ้นนอนบนเตียงด้วยกันแค่นั้นเอง
>>>
>>>
>>> เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น แสงแดดอ่อนส่องผ่านหน้าต่าง ผมยังคงนอนตะแคง
>>>หันข้างให้คนอีกฝากของ
>>>เตียง
>>>
>>> แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาดิ้นขลุกๆ อยู่ที่หลัง
>>>ผมพลิกตัวกลับมาดู นักกี้นั่นเอง
>>>เธอนอนกอดหมอนข้างอมยิ้มเหมือนเด็ก และเอาหัวมาซุกหลังผมเหมือนหาไออุ่น
>>>
>>> ผมขยับตัวหามุมเล็กน้อย และนั่นคงทำให้เธอรู้สึกตัว จึงเริ่มขยับ
>>>เปลี่ยนท่านอน ดูเธอสิ อมยิ้มน่า
>>>รักเชียว และนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวที่จะก้มลง
>>>จูบอรุณสวัสดิ์เธอที่หน้าผาก
>>>
>>>
>>>เธออมยิ้มแต่ไม่ยังลืมตา คงไม่รู้ตัวล่ะสิ ฝันถึงอะไรอยู่น๊า
>>>เธอเริ่มดิ้นอีกครั้งเอาหัวซุกกับหน้าอก
>>>ผม เหมือนเจ้าตัวน้อยที่ดิ้นหาไออุ่นจากอกแม่ของมัน ผมกอดเธอไว้หลวม
>>>ลอบมองหน้าเธอตอนหลับ
>>>
>>>เฮ้อ นี่เราไปสัญญาอะไรบ้าๆกับเด็กฟร่ะเนี่ยยยย
>>>
>>>ขันตินายแจ็ค ขันติ คิดได้แค่นั้นผมก็ลุกไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปทำงาน
>>>แต่ก่อนลุก
>>>ผมใช้เวลาทำใจอีกนิด
>>>ก่อนจะปล่อยลูกแมวน้อยออกจากอ้อมแขนก
>>>
>>>
>>>
>>>ครับ ผมแต่งงานมา 3 เดือนแล้วครับ ผมใช้ชีวิตเกือบเหมือนเดิม ยกเว้นแต่
>>>เวลาว่างของผมมักมีภาพ
>>>ใครอีกคนซ้อนทับขึ้นมาให้คิดถึงเสมอ นักกี้และผมเป็นเหมือนคู่แฝด
>>>เวลาผมไปฟิตเนส หรือไปเที่ยว
>>>ไหน เรามักไปด้วยกันเสมอ
>>>
>>>และความรู้สึกของผม ที่มีต่อเธอมันเริ่มเพิ่มขึ้น และรู้สึกคิดถึง...
>>>ผมไม่แน่ใจนักว่าควรใช้คำนี้ไหม แค่รู้
>>>สึกข้างกายมันโล่ง เวลาไม่มีเธออยู่ด้วย ผมมักคิดถึงผมหอมๆ
>>>ที่ชอบแอบมาซุกกับอกผม คิดถึงเจ้าตัว
>>>นุ่มนิ่มที่ได้แอบกอดตอนเช้าก่อนไปทำงาน
>>>คิดถึงรอยยิ้มตอนหลับที่น่ารักจนผมจะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าวัน
>>>หนึ่งผมผิดสัญญากับเธอเล่าอะไรจะเกิดขึ้นนะ คิดได้แค่นั้นก็....
>>>เห่อๆๆๆๆ
>>>
>>>“ท่านประธานคะ โครงการนี้ท่านเห็นว่าไงบ้างคะ”
>>>
>>>“ท่านคะ ท่าน”
>>>
>>>“หา อะไรนะ เมื่อกี้ผมไม่ค่อยเข้าใจ อธิบายอีกรอบสิ”
>>>
>>>ก็แบบนี้ล่ะครับ เธอทำให้ผมเป็นมาตั้งแต่แต่งงาน
>>>ทั้งที่อาการแบบนี้ไม่ได้เป็นมานานแล้วตั้งแต่ผมโดนหัก
>>>อกและเริ่มสวมวิญญาณเพลย์บอย นักกี้ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองของผู้หญิงใหม่
>>>
>>>มันน่าแปลกมากสำหรับคนที่เกลียดกลัวการผูกมัด กลัวการผูกพันอย่างผม
>>>ก่อนที่ผมจะเจอเธอ ผมมีสาวๆ
>>>แก้เหงาเสมอ แต่เวลาสามเดือนที่ผ่านมา
>>>ชีวิตเสเพลเริ่มเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย
>>>เพราะรู้ถึงคุณค่าของ
>>>สิ่งที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แต่ผมกลับไม่นักใจเลยที่ต้องสวมมันไว้
>>>ซึ่งตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย
>>>
>>>
>>>“เฮียจัก กี้ไม่ใส่ได้ม่ะ กลัวหายอ่ะ อันตรายด้วย เกิดโดนแท็กซี่ปล้นอ่ะ
>>>น่ากลัวนา ใส่ไปเดี๋ยวทองหมอง
>>>เพชรหลุดอ่า เสียดายของแย่ กี้ถอดเก็บไว้นะ นะ”
>>>
>>>“ไม่ได้!!!!”
>>>
>>>ผมตอบออกไปเสียงดังทันที ทำไม แค่ใส่แหวนแต่งงาน กลัวหนุ่มไหนมันจะรู้
>>>ฮึ
>>>ยัยนักกี้
>>>
>>>“กี้แต่งงานแล้วนะ กลัวหนุ่มไหนรู้เหรอ ว่าเราไม่โสดแล้วน่ะ
>>>ทีพี่ยังใส่ได้เลย
>>>พี่สิควรจะรำคาญมัน ไม่
>>>ใช่เรา”
>>>
>>>“เฮ่ออออออออ ตูละเบื่อ ตาแก่ขี้หึงจริงๆ“
>>>
>>>“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะกี้ เป็นผู้ใหญ่สักทีสิ”
>>>
>>>ผมแกล้งพูดน้ำเสียงจริงจัง กลบอาการเขินเต็มๆ เรื่องอะไรมาว่าเราหึง
>>>เหอะ
>>>อย่างกะตัวเองจะมี
>>>หนุ่มไหนมาสน นอกจากผมงั้นล่ะ เฮอะๆ เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ได้หึง...
>>>
>>>“โอ๋ๆๆๆๆ เฮียจัก อย่างอนสิ เอางี้เดี๋ยววันนี้ไปเล่นเกมตู้กัน
>>>กี้เพิ่งอ่านหนังสือเกมส์มา มีเกมส์ออกใหม่
>>>ท่าทางหนุกมากเลย ไปด้วยกันน๊าาาาา”
>>>
>>>“ไม่ พี่ไม่ใช่เด็กๆ จะให้ไปเล่นเกมตู้น่ะ”
>>>
>>>....
>>>
>>>“เฮียจัก เล่นดีดีดิ ยิงให้ถูกหน่อย ฝีมือแย่ชะมัด เห็นม่ะพากันตายเลย”
>>>“กี้นั่นแหละ ยิงมั่ว มายิงพี่ทำไม เอาใหม่เลย มา มา
>>>คราวนี้ต้องผ่านด่านนี้ให้ได้”
>>>
>>>...
>>>
>>>ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งครับตอนอยู่กับเธอ
>>>ช่วงเวลาเด็กที่ผมมักไม่มีเหมือนคนทั่วไป ผม
>>>ต้องอ่านหนังสือ มุ่งมั่นกับการเรียน ให้ได้คะแนนดีเยี่ยม
>>>และศึกษางานของที่บ้านไปพร้อมกัน จนทำให้ผม
>>>ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้านักธุรกิจรุ่นใหม่ เมื่ออายุขึ้นเลข 3
>>>ผมก็มีพร้อมทุกอย่าง
>>>
>>>จนผมตัดสินใจจะแต่งงานกับเธอนี่ล่ะ ถึงทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงแล้ว
>>>ผมไม่ได้มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย สิ่งที่
>>>ชีวิตผมขาดไปคือ ความสุข ความสดใส นั่นเอง
>>>ผมไม่ได้รักเธอหรอกนะเราแค่สนิทกันเหมือนพี่น้อง คบ
>>>กันเหมือนเพื่อนน่ะน
>>>
>>>
>>>คืนวันอาทิตย์ เพื่อนชวนผมออกมาเหล่สาวตามเคย ทั้งที่ผมบอกปัดมันไปแล้ว
>>>อยากอยู่บ้าน นอนดูหนังกะ
>>>นักกี้บนโซฟา หน้าทีวี ผมชอบแอบดูเธอตอนกำลังลุ้นกับหนัง
>>>และบางครั้งก็ร้องไห้ออกมาซะงั้น เธอจะ
>>>มาอาศัยไหล่ผมเป็นผ้าเช็ดหน้าครับ นี่ละที่ชอบบบบบ
>>>
>>>ผมพยายามอ้าง อกปัดไปเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมเชื่อ สุดท้ายมันใช้ไม้เด็ด
>>>หาว่าผมกลัวเมีย ชะ คนอย่าง
>>>นายแจ็ค ไม่มีคำว่า "กลัว" ที่ไหนบอกมา
>>>ผมขึ้นไปบอกนักกี้ในห้องอ่านหนังสือว่าจะออกไปข้างนอก เธอ
>>>ยิ้มให้ โบกมือบ้ายบาย ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
>>>นี่หนังสือนั่นมีดีอะไรนัก ถึงละสายตามามองกัน
>>>ไม่ได้เนี่ย ห๊ะ
>>>“เฮ้ยแจ็ค ทำไมเมียเอ็งดียังงี้ว่ะ ออกเที่ยวกลางคืนยั่งงี้
>>>เขาไม่ว่าอะไรเอ็งเหรอ”
>>>
>>>ก็ใครมันลากตูออกมาล่ะว้า
>>>
>>>“ไม่หนิ”
>>>
>>>“งั้นเขาก็ไม่แคร์เอ็งเท่าไหร่น่ะสิ ดีว่ะ แฟนข้านะ บอกจะออกเที่ยว
>>>ทำหน้าหงิกยังกะอะไรดี”
>>>
>>>“ไม่รู้เขา คงคิดว่าเรานัดกันประจำมั้ง
>>>เค้าไม่ค่อยยุ่งกะเรื่องอย่างงี้เท่าไหร่ว่ะ”
>>>
>>>“เฮ้ย งั้นเอ็งไปแต่งงานกะเขาทำไมว่ะ ต่างฝ่ายต่างไม่สนกันหยังงี้อ่ะ
>>>ข้าว่าสงสารเด็กมันนา”
>>>
>>>“เด็กไร เรียนจบแล้ว” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
>>>
>>>“เอ่อนั่นแหละ ถ้าเทียบกับเรา เขาก็ยังเด็ก
>>>เอ็งคิดมั่งเปล่าว่าไปตัดอนาคตเด็กมัน เขาอาจอยากไป
>>>เรียนต่อก็ได้นะเว้ย” ไอ้ทีเริ่มกรึ่ม จึงพูดออกมาตรงๆ
>>>
>>>“ข้าว่าไม่นะ เห็นอยู่เฉยๆไปวันๆ คงไม่คิดอะไรหรอกมั้ง”
>>>
>>>ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดของเพื่อน ทั้งที่ตัวผมก็มักทบทวนกับตัวเองบ่อยๆ
>>>นี่เราทำอะไรอยู่ ผมเอาแต่ใจ
>>>ตัวเองเกินไปรึเปล่าที่ดึงเธอไว้ด้วยกันแบบนี้ ผมแย่งอนาคต
>>>กักขังความฝันของเธอไว้ไหม เธอเพิ่ง
>>>ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เธออาจต้องการตามหาฝัน อย่างที่เธอขอเวลาผมไว้ 3
>>>ปี
>>>นั้น
>>>
>>>เฮ้อ นี่เราทำบ้าไรอยู่ฟร่ะ.... คืนนั้นผมนั่งกรอกเหล้าเป็นเพื่อนไอ้ที
>>>และมันก็นั่งเหล่สาวแทนผมจนดึก
>>>
>>>“เฮ้ย บ้านนี้มีใครอยู่มั่ง มาช่วยกันหน่อยโว้ย มาลากไอ้แจ๊คช่วยหน่อย”
>>>
>>>“ขา มาแล้วๆค่า”
>>>
>>>“ยังไม่นอนเหรอครับ นักกี้ รอหมอนี่ล่ะสิ โทษนะ คืนนี้ดึกไปหน่อย
>>>พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก นายนี่มันไม่
>>>ยอมกลับน่ะ ผมเลยต้องนั่งเป็นเพื่อนมัน แต่วางใจได้ ไม่มีเรื่องผู้หญิง
>>>มีแต่เหล้าเพียวๆจ๊ะ” ... จริง
>>>อ๊ะ
>>>
>>>“เอิ้ก เอาเหล้ามาอีกกก น้องเติมๆ”
>>>
>>>“เติมไรเล่า ถึงบ้านแล้ว ไอ่บ้า (ไม่ต้องมาแกล้งเมาอ้อนเมียเลยนะเอ็ง)
>>>ไปนะ
>>>นักกี้”
>>>
>>>“ขอบคุณพี่ทีค่ะ ทิ้งไว้ตรงโซฟานี่ล่ะ เดี๋ยวกี้ให้เด็กมาลากคอไปเองค่ะ”
>>>
>>>ชะอุย ลากคอเลยรึ นายทีนึกในใจ
>>>
>>>“เฮียจัก เดินดีดีสิ ฮู้ย เมาแล้วยังมาเดือดร้อนชาวบ้านอีก
>>>สำนึกไหมเนี่ย”
>>>นักกี้พยายามลากคอผมขึ้น
>>>ข้างบน
>>>
>>>“อืมมมมม นักกี้ เด็กน้อยยยยยย ลูกแมวน้อยของพี่”
>>>
>>>มือผมเริ่มเหมือนปลาหมึก พอถึงเตียงเธอโยนผมลง
>>>
>>>“เมาหนักเลยแฮะ ทุกทีเห็นกินพอเป็นกระสัยไม่ใช่ เฮียจัก
>>>กี้ไม่อยากยุ่งหรอกนะ
>>>เพราะถือว่าเป็น
>>>เรื่องส่วนตัว แต่นี่กินแบบไม่รู้ขีดจำกัดตัวเองแบบนี้ ไง อกหักรึไง”
>>>
>>>ว่าพลาง ก็เลื่อนมือเช็ดตัวไปพลาง
>>>
>>>“เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด พวกขี้เมา”
>>>
>>>“รังเกียจนักก็ไม่ต้องมายุ่ง” ผมว่าพลางปัดมือเธอออก
>>>
>>>“ไรว้า คนจะเช็ดหน้าให้ เอ่อ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ผ้าอยู่นี่นะ
>>>ทำเองแล้วกัน”
>>>
>>>“แล้วนั่นจะไปไหน ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอน” ผมเลิกแกล้งเมา
>>>แล้วถามเธอขึ้น
>>>
>>>“เล่นคอมค่า มีอะไรไหมค๊า”
>>>
>>>จะเพราะท่าทางของเธอที่นั่งพิมพ์ไปยิ้มไป บางครั้งก็หัวเราะคนเดียว
>>>ผมสงสัยจึงเดินไปหาเธอที่หน้า
>>>คอม
>>>
>>>เธอกำลังเล่น msnอยู่ มีหน้าต่างโผล่ซ้อนกันหลายอัน
>>>และคนที่เธอพูดด้วยตอนนี้ก็ใช้คำว่า ครับอยู่ ท่า
>>>ทางมีความสุขจริงนะ
>>>
>>>“ใครอ่ะ” ผมถามขึ้นลอยๆ ยืนมองอยู่หลังเธอ
>>>
>>>“เพื่อนน่ะ อยู่ต่างจังหวัด”
>>>
>>>“รู้จักกันได้ไง”
>>>
>>>“เฮ้อ เฮียจักเป็นไรอ่ะ วันนี้มาแปลก ทุกทีไม่เห็นยุ่งเลย เมาหนักแฮะ
>>>ไปนอนป่ะเฮีย”
>>>
>>>“ถามว่ารู้จักกันได้ไง” ผมเริ่มเสียงเข้ม
>>>
>>>“ก็ทางเอ็มนี่ไง”
>>>
>>>“นานยัง”
>>>
>>>“สองปีกว่า ไมเหรอ ถามอีกม่ะมันอายุเท่าไหร่ พ่อแม่ทำงานอะไร ห๊า”
>>>
>>>เธอหันไปจดจ่อกับหน้าจอโดยไม่สนใจผม และตอบคำถามแบบขอไปที
>>>
>>>“ไว้ใจได้เหรอ เขาอาจหลอกเราอยู่ก็ได้นะ ยิ่งพวกผู้ชายทางอินเตอร์เนตน่ะ
>>>ยิ่งไว้ใจไม่ได้รู้ไหม”
>>>
>>>“ยุ่งไรอ่ะ ก็บอกแล้วไง ว่ารู้จักกันนานแล้ว นานกว่ารู้จักกับเฮียจักอีก
>>>เข้าใจ๊ ”
>>>
>>>พรึบ!!!!!!
>>>
>>>ผมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ออกทันที โมโหวุ้ย
>>>ไอ้เจ้าหนุ่มนั่นสำคัญกว่าเรางั้นเหรอ
>>>ฮึ่ม!!!
>>>
>>>“ทำไรอ่ะ ทำไรงั้นอ่ะ เฮียจักบ้าที่สุด ขี้เกียจต่อเนตใหม่นะ
>>>เมาป่วนอ่ะ”
>>>
>>>“หิวข้าว หาไรให้กินหน่อยสิ”
>>>
>>>“ก็ลงไปดูในตู้เย็นดิ๊”
>>>
>>>“ไม่เอา ทอดไข่ให้หน่อย”
>>>
>>>“ทำไม่เป็น รอเดี๋ยวล่ะกัน ดูตู้เย็นให้ มีไรเหลือมั้ย”
>>>
>>>ระหว่างที่เธอหาของกินในตู้เย็นให้ผมนั้น
>>>ไม่รู้ผีที่ไหนมาเจาะปากให้ผมถามเธอออกไป
>>>
>>>
>>>“กี้ รักเฮียจักไหม”
>>>
>>>กึก
>>>
>>>ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่ เหมือนเวลาหยุดหมุน
>>>
>>>“ว่าไง รักพี่บ้างไหม”
>>>
>>>“ถ้าตอบว่า “ไม่” เฮียจักจะโกธรไหม”
>>>
>>>
>>>ผมกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงไปในคอ หันหลังจะกลับขึ้นไปนอน
>>>
>>>“นั่นสินะ พี่คงเอาเปรียบเราเกินไป ที่แย่งอนาคตเรามา แยกเราจากเพื่อน
>>>จากความฝันของเรา”
>>>
>>>“เฮียจัก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ” ผมหันมายกมือห้าม และเดินต่อไป
>>>
>>>“ไม่ต้องพูดหรอก อดทนหน่อยนะ ไว้เช้าเมื่อไหร่ เราไปหย่ากัน
>>>พี่จะคืนอิสระให้กี้ เราจะได้ไม่ต้อง
>>>มาทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักอีกต่อไป”
>>>
>>>“จะบ้าเหรอ อย่าทำเป็นงอนไปหน่อยน่า ฟังก่อนได้ไหม”
>>>
>>>ผมหันมามองเธอ อย่างอดทน พยายามนับหนึ่งถึงร้อย
>>>
>>>“ฟังนะเฮียจัก ทำเลือดร้อนที่โดนแอลกอฮอลเผาให้มันเย็นๆลงหน่อย
>>>แล้วฟังนี่”
>>>
>>>“กี้รู้ตัวเสมอว่า ทำอะไรอยู่ ถึงแม้่การที่เราแต่งงานกัน
>>>มันจะไม่ได้เริ่มจากความรักและความเต็มใจ
>>>ของทั้งสองฝ่าย แต่...แต่กี้ก็ชอบเฮียจักมาก
>>>เฮียจักเป็นผู้ชายที่ดีคนนึงที่กี้รู้ว่า สักวันกี้จะรักเฮียได้”
>>>
>>>“แต่เราก็ไม่ได้รักพี่หนิ”
>>>
>>>แล้วผมหันหลังเดินออกไป เธอรีบวิ่งตาม มาขวางหน้าไว้
>>>
>>>“ปั๊ดโธ่โว้ยยยย!!!!!! อย่าทำตัวเป็นเด็กน่า ฟังให้จบก่อนสิ”
>>>
>>>“มีอะไรอีก ง่วงจะนอน” ผมทนฟังต่อไปไม่ได้ เดินไปถึงเตียง
>>>ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เธอ
>>>
>>>“เออนอนฟังไปล่ะกัน จะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
>>>
>>>“ก่อนจะเจอกับเฮียจัก กี้ก็โดนจับคู่มาเยอะ
>>>แต่กี้ก็หนีมาตลอดและในที่สุดแด้ดมัมก็เลิกล้มไป แต่พอมาเคส
>>>เฮียจัก มันผิดไปหมด กี้คิดว่าจะลองไปพบดู
>>>แล้วจะป่วนให้อีกฝ่ายรำคาญและไม่ชอบหน้า จนเลิกไปเอง
>>>แต่มันกลับไม่ใช่”
>>>
>>>"พอเห็นหน้าเฮีย กี้คิดว่า คนหล่อๆ มีพร้อมทุกอย่าง อย่างเฮียจัก
>>>ต้องไม่มองเด็กกะโปโลแบบกี้แน่ เลย
>>>เล่นอะไรบ้าๆไป แต่เรื่องมันกลับตรงข้าม เฮียเกิดตกลง ซึ่งมันบ้า
>>>บ้ามากๆด้วย
>>>มีแต่คนสิ้นคิดเท่านั้น ที่
>>>คิดจะมีแฟนแบบกี้”
>>>
>>>งั้นผมก็เป็นพวกสิ้นคิดที่สุดในโลกใช่ไหมเนี่ย...
>>>“แล้วเฮียจักก็เริ่มสร้างความประทับใจให้กี้ทีละน้อย
>>>เฮียจักก้าวเข้ามาทำความรู้จักกับกี้แบบที่ไม่เคยมี
>>>ใครคิดจะทำ
>>>
>>>ยอมไปไหนไปกัน จำตอนที่เราไปหลงป่าเมืองกาญฯได้ไหม กี้รู้สึกปลอดภัย
>>>อุ่นใจเมื่อมีเฮียอยู่ใกล้ แม้จะ
>>>ไม่แน่ใจว่าจะออกป่าไปได้ไหม พอรอดมาได้
>>>กี้ก็บอกตัวเองว่าคนนี้แหละที่เราหามานาน คนที่จะเป็นหลัก
>>>ให้ชีวิตเราต่อจากนี้
>>>
>>>มันก็จริงที่กี้ไม่ได้รักเฮียแต่แรกพบ มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รัก
>>>เพราะ...เพราะ
>>>เอ่อ เพราะกี้ไม่รู้จักว่า
>>>"รัก" มันเป็นยังไง กี้ไม่เคยมีแฟน และไม่คิดจะรักใคร
>>>ชีวิตกี้มีพร้อมทุกอย่าง
>>>กี้เลยไม่อยากใช้คำว่า
>>>“รัก” กับเฮียจัก"
>>>
>>>“แต่เฮียเป็นมากกว่านั้นค่ะ เฮียทำให้ กี้เคารพ นับถือ ศรัทธา
>>>ชื่นชมและเอ่อ
>>>เอ่อ ชอบเฮียมาก ...
>>>กี้คิดว่า มันน่าจะเกินนิยามคำว่า รัก ไปแล้วนะ
>>>เพราะรักแบบหนุ่มสาวคืออะไรกี้ก็ตอบไม่ได้ และไม่
>>>อยากสนใจมันด้วย"
>>>
>>>"กี้บอกได้แค่ว่า เฮียจักจะเป็นอีกครึ่งชีวิตของกี้ค่ะ"
>>>
>>>“เราเพิ่งเริ่มต้นกันเท่านั้นนะคะ และ .... และกี้ก็คิดว่า
>>>เฮียก็คงไม่สนเด็กอย่างกี้เท่าไหร่ ไม่เข้า
>>>ใจว่าทำไมอยู่ๆถึงถามคำถามงี่เง่าแบบนี้ได้
>>>ตลอดเวลากี้พยายามทำตัวเหมือนน้องสาว สร้างปัญหาให้
>>>น้อยที่สุด ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเฮีย เพราะกลัวเฮียรำคาญและเบื่อ
>>>กลัวจะไม่ได้อยู่กับเฮียอีก ...”
>>>
>>>“เฮียจักหลับแล้วเหรอ”
>>>
>>>เงียบ
>>>
>>>อึ้งครับ ผมกำลังซึมซับคำพูดของเธอไว้ในหัวใจที่แห้งผากมาตั้งแต่ตอนเย็น
>>>จากคำพูดบ้าๆ ของไอ้ที
>>>
>>>ผมมันคิดมาก บ้าไปเองจริงๆ การกระทำต่างหากที่สำคัญ
>>>การที่เราได้อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ สำคัญ
>>>กว่าแค่คำที่เธอจะพูดว่า รัก หรือ ไม่รัก ผมนี่มันตาแก่คิดชะมัด
>>>
>>>ผมหันกลับไปเพื่อจะบอกเธอว่า ผมไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้นสักนิด
>>>ผมไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นน้อง
>>>
>>>แต่ช้าไป เธอเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมได้ยินเสียงฝักบัวเปิด
>>>ก็เธออาบน้ำแล้วหนิ
>>>อยู่ในชุดนอน แล้วจะ
>>>อาบน้ำอีกทำไม
>>>สักพักเธอก็ออกมา แล้วบอกผม
>>>
>>>“เฮียจักอาบน้ำซะนะ เปิดน้ำไว้ให้แล้ว”
>>>
>>>เธอก้มหน้าพูด น้ำเสียงเธอปลกไป เหมือน .... มันเหมือนคนคัดจมูก
>>>ผมรีบลุกตามเธอไปที่เครื่อง
>>>คอม จับมือเธอก่อนที่เสียบปลั๊กคอมอีกครั้ง
>>>
>>>“กี้ เฮียจักขอโทษ”
>>>
>>>เธอพยักหน้าเบาๆ แกะมืออกจากผมไปเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์
>>>แล้วกดเปิดเครื่อง
>>>
>>>ผมสังเกตว่า ตาเธอแดงก่ำ จมูกแดงด้วย ใช่เลย อาการอย่างงี้
>>>
>>>
>>>“ร้องไห้ทำไมครับคนดี”
>>>
>>>เธอส่ายหน้าช้า แล้วนั่งเก้าอี้ รอให้เครื่องรันเสร็จ หันหน้าไปอีกทาง
>>>
>>>
>>>“เฮียจักขอโทษนะครับ น๊า ยกโทษให้กันนะคร้าบ
>>>เฮียจะไม่ปากหมาอีกแล้วนะคร้าบ”
>>>
>>>เธอแอบยิ้มนิดนึง แต่ก็ทำหน้าเฉยต่อ
>>>
>>>“นะคร้าบ หันมาคุยกันดีดีนะคร้าบ เฮียขอโทษนะ
>>>เกิดมาเฮียไม่เคยง้อผู้หญิงเลยนา
>>>อายน่า หันมาเหอะ
>>>”
>>>
>>>ยังอีก งั้นต้องใช้ไม้นี้
>>>
>>>“เพื่อเป็นการไถ่โทษ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวทะเลกัน
>>>เฮียจะพาไปเล่นเครื่องร่อนด้วย
>>>ได้ไหมครับ”
>>>
>>>ได้ผล!!!
>>>
>>>
>>>“ไปดำน้ำแบบสน้อกเกิ้ลด้วยน๊า แล้วก็ต้องสอนกี้ขี่เจทสกีด้วย”
>>>
>>>“ตกลงครับ”
>>>
>>>“เย้ๆ”
>>>
>>>
>>>ฮึฮึ ดูท่าคงลืมไปแล้วว่าเธอกำลังงอนผมอยู่
>>>และเมื่อรู้ความจริงในใจแล้วแบบนี้
>>>ผมจะขอฉีกสัญญาทิ้งล่ะ
>>>นะ นักกี้ ฮึฮึ ทำตัวเป็นเสือจำศีลมานานแระ ฮึฮึฮึ
>>>
>>>“กี้”
>>>
>>>“หืม”
>>>
>>>“นอนกัน”
>>>
>>>“ไม่อ่ะ เฮียจักนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวปิดเครื่องแล้วตามไป”
>>>
>>>“ไม่เอาอ่ะ นอนคนเดียวกลัวผี ปล่อยเครื่องมันไว้งี้แหละ”
>>>
>>>
>>>ผมลุกขึ้นยืน แล้วก้มลงอุ้มเธอไปที่เตียง
>>>
>>>
>>>“เฮีย ทำไร เดินเองได้ ปล่อยน่า จั๊กจี้”
>>>
>>>เงียบ เฮ้ย แววตาแบบนี้นี่มัน ฮ่าๆ ตายแน่แล้วตรู
>>>
>>>
>>>“เฮ่ยยยย ไม่เอาน๊าเฮีย ไหนบอกจะรักษาสัญญาไง”
>>>
>>>“สัญญาไรเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย นอนเถอะ”
>>>
>>>ผมวางเธอลงบนเตียง แล้วเดินไปปิดไฟ
>>>
>>>
>>>“เฮ้ย ปิดไฟทำไม กี้กลัวความมืด”
>>>
>>>
>>>เงียบ....... แล้วที่นอนข้างตัวก็เริ่มยุบ
>>>เธอเริ่มเขยิบตัวหนี แต่ช้าไปแล้วหนู เสือจะขย่ำเหยื่อ
>>>มีรึจะปล่อยให้หลุดมือไปด้ายยยยยยยย
>>>
>>>.....
>>>..
>>>.
>>>
>>>
>>>ผมเพิ่งรู้นะ ว่าการผิดสัญญามันดีอย่างนี้นี่เอง น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว
>>>รู้ม่ะผมไม่รู้สึกผิดสักนิดเลย อิอิ
>>>
>>>
>>>กับความรู้สึกที่ผมไม่ได้พบมานาน เสือผู้หญิงอย่างผมที่ไม่คิดจะได้เจอ
>>>นักกี้บริสุทธิ์ เหมือนน้ำค้างยาม
>>>เช้า เธอเหมือนผ้าขาว ที่ไม่ประสีประสาอะไรเลย
>>>และความแปลกใจนั้น กลับกลายเป็นความภูมิใจ รู้สึกเป็นเจ้าของ
>>>และหวงเธอขึ้นมาทันที ผมหวงแม้
>>>กระทั่งกับตัวผมเอง เธอดูบอบบาง น่าทะนุถนอม
>>>จนผมต้องกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
>>>
>>>
>>>“กี้ โกธรเฮียไหม”
>>>
>>>“คนผิดคำพูด ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
>>>
>>>เสียงอู้อี้ดังลอดผ้าห่มออกมาจากอกผม
>>>
>>>หึหึหึ ผมหัวเราะกับตัวเอง
>>>
>>>“ปากดีแบบนี้ ต้องโดนอีกรอบ”
>>>
>>>ผมจู่โจมเธอโดยไม่ให้ทันตั้งตัวอีกครั้ง
>>>รู้สึกเจ็บรอยหยิกที่ไหล่จากมือน้อยๆ
>>>แต่แค่นี้.....เด็กๆ ใครจะ
>>>ว่าปล้ำเมียตัวเองก็ยอมล่ะ .......
>>>
>>>สวัสดีครับ ผมชื่อแจ๊คครับ ผมมีภรรยาอย่างแท้จริงมาสองเดือนแล้วครับ
>>>ชีวิตผมเหมือนเปลี่ยนจากหน้า
>>>มือกับหลังมือครับ ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของผมกับนักกี้ไม่เหมือนเดิม
>>>เธอไม่เป็นกันเองเหมือนเคย
>>>
>>>ผมว่า เธออายผมครับ และมันทำให้ผมรู้อีกอย่างว่า
>>>จากภายนอกที่ดูซ่าส์ๆนั้นแล้ว
>>>เวลาอยู่ต่อหน้าคนที่
>>>ชอบเธอจะอายมาก แต่การอายของเธอแปลกครับ เธออายแบบ ไม่สนใจคนที่เธออาย
>>>เธอไม่พูด ไม่คุย
>>>แบบกวนอีก จะเรียบร้อย จะค่ะ จะขา ซึ่งมันก็ดีน่ะนะ
>>>แต่ผมอยากได้นักกี้คนเดิมกลับมาจัง แต่สิ่งหนึ่ง
>>>เปลี่ยนไปคือแววตาครับ ผมเริ่มเรียนรู้ที่อ่านสายตาของเธอออก
>>>เธอไม่พูดมากเหมือนเคย ไม่ขี้โมโห
>>>แต่ยังคงความซุ่มซ่ามและเอ๋อไว้เหมือนเดิม
>>>และผมก็ชอบให้เธอมองผมมากกว่าพูดแล้วล่ะ เพราะ
>>>เหมือนเธอกำลังบอกรักผมอยู่น่ะสิ
>>>
>>>
>>>จนวันนึง ขณะที่ผมกำลังประชุมอยู่
>>>
>>>ปึง
>>>
>>>เสียงเท้าถีบประตูห้องประชุมดังสนั่น ทุกคนในห้องตกใจ หันไปทางต้นเสียง
>>>
>>>“คุณกี้คะ เข้าไม่ได้นะคะ ท่านกำลังประชุมอยู่ค่ะ คุณกี้ เอ่อ
>>>ขอประทานโทษค่ะ
>>>ดิฉันเตือนเธอแล้ว แต่”
>>>
>>>“ไม่เป็นไร คุณมล ขอบคุณครับ ทุกคน เชิญคอฟฟี่เบรค 5 นาทีครับ”
>>>
>>>
>>>“กี้มีอะไรรึเปล่า เฮียจักกำลังประชุมนะครับ”
>>>
>>>กระซิกๆ อะฮื่อๆๆๆๆๆๆ เธอเริ่มร้องไห้
>>>
>>>“เฮียจักคนบ้า ง่า บ้าที่สุดเลยอ่า ฮื่อออออ”
>>>
>>>“กี้ เป็นไร เฮ้ย ทำหน้าบึ้ง อยู่ดีดีก็ร้องไห้ มานี่ๆ”
>>>
>>>ผมพาเธอเข้ามาคุยในห้องทำงานส่วนตัว
>>>
>>>
>>>“อื่ออออออออออ”
>>>
>>>“เป็นไรครับ ฮึ บอกเฮียจักสิ ใครแกล้งไร โอ๋ๆ เงียบก่อนนา”
>>>ผมดึงเธอมาซบกับอก
>>>ลูบหัวพลาง
>>>ปลอบ
>>>
>>>แล้วเธอก็ชี้มาที่ผม
>>>
>>>“เฮ้ยกี้ เฮียไปแกล้งอะไร อ๋อ เรื่องเมื่อคืนกะตอนเช้าอ่ะเหรอ
>>>เฮียว่าไม่ได้ทำไรรุนแรงนา”
>>>
>>>“บ้าดิ ไม่ใช่เรื่องนั้น เฒ่าลามก!!!”
>>>
>>>เอ๋า โดนเมียด่าอีก แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้ต่อ
>>>
>>>“เฮียจักทำให้กี้ไปปีนหน้าผา ไปล่องแก่ง ไปขึ้นภูไม่ได้อีกแล้ว ใจร้าย
>>>คนใจร้ายที่สุด บาบาบาๆๆๆ
>>>....”
>>>
>>>หลังจากที่เธอพูดๆๆๆๆๆๆๆๆ จนเหนื่อย แล้วตบท้ายด้วยการส่งหมัด
>>>ชกผมเข้าเต็มแรง
>>>แล้วหันหลังเดิน
>>>ออไป ทิ้งผมไว้กับความเจ็บและงง
>>>
>>>
>>>มารู้ก็ตอนถึงบ้านแล้ว พ่อแม่ทั้งฝ่ายผมและเธอ อยู่กันเต็มบ้าน
>>>วิ่งวุ่นกันไปหมด
>>>
>>>“แจ๊ค เก่งมากเลยลูกแม่ ถึงจะช้าไปบ้าง แต่ในที่สุด โฮะๆ”
>>>
>>>“พ่อแจ๊ค ขอบใจนะลูก หลานคนแรก แม่ขอผู้ชายนะลูก”
>>>
>>>“เดี๋ยวก่อนครับ นี่มันอะไรกัน ผมงงหมดแล้ว”
>>>
>>>และคำพูดเมื่อตอนกลางวันของนักกี้ก็วิ่งเข้าในสมองผม
>>>
>>>
>>>“เฮ่ย”
>>>
>>>“จริงเหรอครับ”
>>>
>>>“จ๊ะ สองเดือนแระ” แม่ผมตอบตาเป็นประกายใสปิ๊งเชียว
>>>
>>>“วะฮู้ จะได้เป็นพ่อคนละโว้ยยยยยยยยยย” ผมตะโกนออกไปอย่างไม่อายทุกคน
>>>ทั้งที่ปกติผมเป็นคนเก็บ
>>>อารมณ์นะ
>>>
>>>
>>>
>>> ชีวิตผมนับว่าเริ่มเปลี่ยนแปลงนับแต่วันที่ได้เจอเธอ
>>>และจนถึงวันนี้
>>>เจ็ดปีแล้ว ที่ผมและเธอ
>>>เดินร่วมทางกันมา และมันทำให้ผมยิ่งรักเธอมากขึ้นมากขึ้น
>>>
>>> การเดินทางของเรา มีทั้งสุขและทุกข์ เราก็ยังเป็นเพื่อน
>>>เหมือนพี่น้อง
>>>และเหมือนคู่รักที่ตามหา
>>>กันมานานหลายภพ การที่เดินไปบนทางอันแสนไกล แล้วมีมือน้อยนุ่มนิ่มให้จับไว้
>>>ช่างเป็นสิ่งที่ดี ดีมากๆ
>>>สำหรับผู้ชายคนนึง
>>>
>>>
>>>“พ่อครับ พ่อ แย่แล้วครับ”
>>>
>>>เสียงเจ้าลูกชายตัวยุ่ง วิ่ง หอบ เข้ามาในห้องทำงานผมที่บริษัท
>>>
>>>“แม่หายตัวไปอีกแล้วคร้าบ”
>>>
>>>“อ่าว ไม่อยู่บ้านย่าเหรอลูก”
>>>
>>>เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม
>>>เขียนว่า “ภูกระดึง”
>>>
>>>ผมอ่านประโยคนั้น แล้วอมยิ้ม
>>>
>>>“เจอรี่ คืนนี้นอนกับย่านะครับ เด็กดีอย่าดื้อล่ะ คุณมล
>>>ผมฝากส่งลูกกลับบ้านด้วย แล้วก็ยกเลิกนัดทุกอย่าง
>>>ของวันนี้ และอีก 2 วันด้วยนะ”
>>>
>>>“แล้วเจ้านายจะไปไหนล่ะค่ะ”
>>>
>>>“ Honeymoon
เคล็ดลับความสุข
พ่อค้าคนหนึ่งส่งลูกชายของเขาไปเรียนรู้เคล็ดลับของความสุขจากชายผู้ชาญฉลาดที่สุดในโลก
เด็กหนุ่มเดินทางไปในทะเลทรายถึง 40 วัน ในที่สุดเขาก็มาถึงปราสาทสวยงาม
ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เหนือภูผา ปราสาทนี้ เป็นที่พำนักของผู้ชาญฉลาดที่เขาตามหา
แต่แทนที่เขาจะได้พบชายมีลักษณะเหมือนนักบุญ
เมื่อพระเอกของเราเข้าไปในห้องโถงกลางปราสาท
เขากลับเห็นว่าในห้องนั้นมีกิจกรรมต่างๆมากมาย
พ่อค้ากำลังเดินเข้าออก คนจับกลุ่มคุยกันตรงมุมห้องด้านหนึ่ง
มีวงดนตรีเล็กๆกำลังบรรเลงเพลงอยู่
และบนโต๊ะก็วางอาหารที่อร่อยที่สุด ชายผู้ชาญฉลาดสนทนากับทุกคน
เด็กหนุ่มต้องรอนานถึง 2 ชั่วโมง
กว่าจะได้พูดคุยกับเขา
ชายผู้ชาญฉลาดตั้งใจฟังเด็กหนุ่มอธิบายว่าเขามาที่นี่ทำไม
และบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีเวลาอธิบายเคล็ดลับของการมีความสุขให้ฟัง
ชายผู้ชาญฉลาดแนะให้เด็กหนุ่มเดินดูรอบๆปราสาท
และกลับมาหาเขาใหม่ใน 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น
"ระหว่างนั้นฉันอยากให้เธอทำอะไรบางอย่าง
" ชายผู้ชาญฉลาดบอกเด็กหนุ่ม แล้วยื่นช้อนซึ่งมีน้ำมันสองหยดให้ "
ระหว่างที่เดินดูรอบๆประสาทจงถือช้อนนี้ไปด้วย
แต่ระวังอย่าให้น้ำมันหกเสียล่ะ"
เด็กหนุ่มขึ้นและลงบันไดที่มีมากมายในปราสาทแห่งนั้น
ตาของเขาจับอยู่ที่ช้อนและหยดน้ำมัน สองชั่วโมงผ่านไป
เขาก็เดินกลับมายังห้องที่ชายผู้ชาญฉลาดรออยู่ "เอาล่ะ"
ชายผู้ชาญฉลาดเอ่ย
"เธอเห็นผ้าทอเปอร์เซียที่ประดับอยู่ในห้องอาหารของฉันไหม
รวมทั้งสวนซึ่งคนทำสวนที่เก่งที่สุดต้องใช้เวลาถึง 10 ปี
กว่าจะจัดเสร็จ
และเอกสารที่คัดด้วยลายมืออันสวยงามในห้องสมุด
เธอเห็นของพวกนั้นไหม"
เด็กหนุ่มรู้สึกอาย เขาสารภาพว่าไม่ได้มองอะไรเลย
สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียว คือ
หยดน้ำมันที่ชาญผู้ชาญฉลาดสั่งให้เขาดูแล
"ถ้าเช่นนั้น เธอจงกลับไปใหม่
และดูความน่ามหัศจรรย์ทั้งหลายในโลกของฉัน" ชายผู้ชาญฉลาดบอก
"อย่าไว้ใจใครหากเธอยังไม่รู้จักบ้านของเขา"
เด็กหนุ่มรู้สึกสบายขึ้น
เขาหยิบช้อนและเริ่มออกสำรวจปราสาทครั้งนี้
เขามองเห็นผลงานศิลปะชั้นเลิศ
ทำบนผนังและเพดาน เห็นสวนและเทือกเขาที่ล้อมรอบเขาอยู่
เห็นความงามของดอกไม้
และรสนิยมของเจ้าของปราสาท
ซึ่งสะท้อนผ่านสรรพสิ่งที่ถูกเลือกสรรมา
เมื่อเขากลับมาหาชายผู้ชาญฉลาด
เด็กหนุ่มเล่าทุกสิ่งที่เขาเห็นอย่างละเอียดละออ
"แล้วหยดน้ำมันที่ฉันให้เธอดูแลล่ะ"
ชายผู้ชาญฉลาดถามขึ้นเด็กหนุ่มมองช้อนที่เขาถืออยู่และพบว่าหยดน้ำมันหายไปแล้ว
"สิ่ ง ที่ ฉั น อ ย า ก บ อ ก เ ธ อมี อ ย่ า ง เ ดีย ว"
ชายผู้ชาญฉลาดที่สุดในโลกกล่าว "เ ค ล็ ด ลั บ ข อง ค ว า ม สุ ข
คื อ
ก า ร ม อ ง เ ห็ น ค ว า ม ม หั ศ จ ร ร ย์ ทั้ ง ป ว ง ใ น โ ล
ก ใ น
ข ณะเ ดี ย ว กั น ก็ ต้ อ ง ไ ม่ ลื ม ห ย ด น้ำ มั นใ น ช้ อ น"
ปราชญ์คนนั้นสอนให้รู้ว่า
ครั้งแรกเด็กหนุ่มคนนั้นตั้งเป้าไว้กับชีวิตมากเกินไป
เขาตั้งใจรักษาน้ำมันในช้อนไม่ให้หก
จึงเดินผ่านสิ่งดีๆในชีวิตไปไม่ได้หยุดชื่นชมเปรียบเหมือนกับเราตั้งหน้า
ตั้งตาทำงานลูกเดียว จนรู้สึกตัวอีกที ก็แก่
ไม่ทันได้เที่ยวได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าซะแล้ว รอบที่สอง
เพื่อสอนว่า ถ้ามัวแต่เที่ยว
ไม่สนใจการงานหรือหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ
ก็ไม่ดีเช่นกัน ความสุขในชีวิต
แท้จริงควรมาจากการที่เรารู้จักรับผิดชอบในชีวิต หน้าที่การงาน
และรู้จักผ่อนคลาย แสวงหาความสุข
ท่องเที่ยวบ้างให้ทำสองอย่างควบคู่กันไปอย่างลงตัว
แล้วจะค้นพบว่านั่นเป็นความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง
เด็กหนุ่มเดินทางไปในทะเลทรายถึง 40 วัน ในที่สุดเขาก็มาถึงปราสาทสวยงาม
ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เหนือภูผา ปราสาทนี้ เป็นที่พำนักของผู้ชาญฉลาดที่เขาตามหา
แต่แทนที่เขาจะได้พบชายมีลักษณะเหมือนนักบุญ
เมื่อพระเอกของเราเข้าไปในห้องโถงกลางปราสาท
เขากลับเห็นว่าในห้องนั้นมีกิจกรรมต่างๆมากมาย
พ่อค้ากำลังเดินเข้าออก คนจับกลุ่มคุยกันตรงมุมห้องด้านหนึ่ง
มีวงดนตรีเล็กๆกำลังบรรเลงเพลงอยู่
และบนโต๊ะก็วางอาหารที่อร่อยที่สุด ชายผู้ชาญฉลาดสนทนากับทุกคน
เด็กหนุ่มต้องรอนานถึง 2 ชั่วโมง
กว่าจะได้พูดคุยกับเขา
ชายผู้ชาญฉลาดตั้งใจฟังเด็กหนุ่มอธิบายว่าเขามาที่นี่ทำไม
และบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีเวลาอธิบายเคล็ดลับของการมีความสุขให้ฟัง
ชายผู้ชาญฉลาดแนะให้เด็กหนุ่มเดินดูรอบๆปราสาท
และกลับมาหาเขาใหม่ใน 2 ชั่วโมงหลังจากนั้น
"ระหว่างนั้นฉันอยากให้เธอทำอะไรบางอย่าง
" ชายผู้ชาญฉลาดบอกเด็กหนุ่ม แล้วยื่นช้อนซึ่งมีน้ำมันสองหยดให้ "
ระหว่างที่เดินดูรอบๆประสาทจงถือช้อนนี้ไปด้วย
แต่ระวังอย่าให้น้ำมันหกเสียล่ะ"
เด็กหนุ่มขึ้นและลงบันไดที่มีมากมายในปราสาทแห่งนั้น
ตาของเขาจับอยู่ที่ช้อนและหยดน้ำมัน สองชั่วโมงผ่านไป
เขาก็เดินกลับมายังห้องที่ชายผู้ชาญฉลาดรออยู่ "เอาล่ะ"
ชายผู้ชาญฉลาดเอ่ย
"เธอเห็นผ้าทอเปอร์เซียที่ประดับอยู่ในห้องอาหารของฉันไหม
รวมทั้งสวนซึ่งคนทำสวนที่เก่งที่สุดต้องใช้เวลาถึง 10 ปี
กว่าจะจัดเสร็จ
และเอกสารที่คัดด้วยลายมืออันสวยงามในห้องสมุด
เธอเห็นของพวกนั้นไหม"
เด็กหนุ่มรู้สึกอาย เขาสารภาพว่าไม่ได้มองอะไรเลย
สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงอย่างเดียว คือ
หยดน้ำมันที่ชาญผู้ชาญฉลาดสั่งให้เขาดูแล
"ถ้าเช่นนั้น เธอจงกลับไปใหม่
และดูความน่ามหัศจรรย์ทั้งหลายในโลกของฉัน" ชายผู้ชาญฉลาดบอก
"อย่าไว้ใจใครหากเธอยังไม่รู้จักบ้านของเขา"
เด็กหนุ่มรู้สึกสบายขึ้น
เขาหยิบช้อนและเริ่มออกสำรวจปราสาทครั้งนี้
เขามองเห็นผลงานศิลปะชั้นเลิศ
ทำบนผนังและเพดาน เห็นสวนและเทือกเขาที่ล้อมรอบเขาอยู่
เห็นความงามของดอกไม้
และรสนิยมของเจ้าของปราสาท
ซึ่งสะท้อนผ่านสรรพสิ่งที่ถูกเลือกสรรมา
เมื่อเขากลับมาหาชายผู้ชาญฉลาด
เด็กหนุ่มเล่าทุกสิ่งที่เขาเห็นอย่างละเอียดละออ
"แล้วหยดน้ำมันที่ฉันให้เธอดูแลล่ะ"
ชายผู้ชาญฉลาดถามขึ้นเด็กหนุ่มมองช้อนที่เขาถืออยู่และพบว่าหยดน้ำมันหายไปแล้ว
"สิ่ ง ที่ ฉั น อ ย า ก บ อ ก เ ธ อมี อ ย่ า ง เ ดีย ว"
ชายผู้ชาญฉลาดที่สุดในโลกกล่าว "เ ค ล็ ด ลั บ ข อง ค ว า ม สุ ข
คื อ
ก า ร ม อ ง เ ห็ น ค ว า ม ม หั ศ จ ร ร ย์ ทั้ ง ป ว ง ใ น โ ล
ก ใ น
ข ณะเ ดี ย ว กั น ก็ ต้ อ ง ไ ม่ ลื ม ห ย ด น้ำ มั นใ น ช้ อ น"
ปราชญ์คนนั้นสอนให้รู้ว่า
ครั้งแรกเด็กหนุ่มคนนั้นตั้งเป้าไว้กับชีวิตมากเกินไป
เขาตั้งใจรักษาน้ำมันในช้อนไม่ให้หก
จึงเดินผ่านสิ่งดีๆในชีวิตไปไม่ได้หยุดชื่นชมเปรียบเหมือนกับเราตั้งหน้า
ตั้งตาทำงานลูกเดียว จนรู้สึกตัวอีกที ก็แก่
ไม่ทันได้เที่ยวได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าซะแล้ว รอบที่สอง
เพื่อสอนว่า ถ้ามัวแต่เที่ยว
ไม่สนใจการงานหรือหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ
ก็ไม่ดีเช่นกัน ความสุขในชีวิต
แท้จริงควรมาจากการที่เรารู้จักรับผิดชอบในชีวิต หน้าที่การงาน
และรู้จักผ่อนคลาย แสวงหาความสุข
ท่องเที่ยวบ้างให้ทำสองอย่างควบคู่กันไปอย่างลงตัว
แล้วจะค้นพบว่านั่นเป็นความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง
Sunday, September 17, 2006
My name means...
CHALIT | ||
---|---|---|
C | is for | Cute |
H | is for | Honest |
A | is for | Adventurous |
L | is for | Luscious |
I | is for | Irresistible |
T | is for | Trendy |
I think it's all true.
People is people trying to match their personality with what they have given. But hey!!! that's me, I mean the given one not the one I wrote :P
credit : http://blogthings.com/acro/acronymquiz.php
Saturday, September 16, 2006
สะเทือนใจ
สิ่งที่เรากำลังจะเราคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสะท้อนสะเทือนใจ
เวลาเที่ยง ในขณะที่เรานั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงอยู่ในรถซึ่งเราจอดติดไฟแดงอย่างสบายใจ เรากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่อยู่ในมือ สมองไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใด แล้วสายตาของเราก็หันไปเห็นผู้ชาย 2 คนที่นั่งอยู่ข้างถนนกับรถซาเล้งเก่า ๆ นี่คงเป็นเวลาอาหารของเขาเหมือนกัน ชายคนหนึ่งหยิบถุงแกงถุงเล็ก ๆ ออกมาจากถุงหูหิ้ว แล้วเขาก็หยิบข้าวเปล่าถุงใหญ่มาก 2 ถุง ที่เราคิดว่าเราคงกินได้ถึง 4 คน แกง 1 ถุงดูจะเป็นกับข้าวอย่างเดียวของเขาทั้งสองคน ดูเขาไม่ทุกข์ไม่ร้อนและมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความสุขเล็ก ๆ เพื่อคลายหิว เพื่อให้อิ่มท้องและเริ่มงานต่อ สิ่งที่เราเห็นมันทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจ ดูเราสิเลือกที่จะจ่ายแพง เพื่อแลกกับความอร่อย ตอบสนองความต้องการของลิ้น ในขณะที่ผู้ชายที่นั่งกินข้าวข้างถนนนั้นกินเพื่อประทังความหิว เรากินแฮมเบอร์เกอร์ฝืดคอขึ้นและหยุดกินในที่สุด ใจคิดทบทวนว่านี่เรากำลังฟุ่มเฟือยจนเป็นความเคยชินแล้วหรือ โดยเห็นว่าการกินอาหารคนเดียวมื้อละเกือบ200เป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือ แล้วคิดถึงพวกเขา ถ้าเขามีเงิน 200 เขาคงไม่คิดใช้เพียงแค่ซื้ออาหารมื้อเดียวคนเดียวเป็นแน่ เขาอาจจะยอมอดบุหรี่แล้วกับเงินไว้ซื้อกับข้าว ซื้อขนม กลับไปฝากลูกเมียตอนเลิกงาน เงิน 200 สำหรับเรา มันได้แค่อาหารขยะ 1 มื้อ แต่สำหรับเขา นั่นคงหมายถึงอาหาร1 มื้อของคนทั้งครอบครัว เรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เป็นความเคยชินของตัวเอง อาหารในแต่ละมื้อของเราเคยชินอยู่กับการต้องนั่งตามร้านอาหาร ต้องได้รับการบริการ มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน ตอนเราไปทำธุระเอารถไปซ่อม เราหิวข้าว เราเห็นร้านอาหารใหญ่ ๆ อยู่ 1 ร้านแถวนั้น เราตั้งใจว่าจะเข้าไปกินข้าวผัดสักจาน หน้าทางเข้าร้านอาหาร มีร้านรถเข็นขายอาหารตามสั่งอยู่ เรายืนตัดสินใจอยู่สักพัก กินก็กินวะ ขี้เกียจเดิน ในขณะที่กินอาหารจากร้านรถเข็นอยู่ จู่ ๆ ก็มีความคิดแวบหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี ใช่เลย!!! เราคิดถูกแล้วที่กินร้านรถเข็น เราจะไปอุดหนุนร้านใหญ่ ๆ แพง ๆ นั่นทำไม เอาเงินไปให้คนรวยทำไม นี่ไง แม่ค้ารถเข็นไม่ได้เอาเปรียบเรา ถ้าเรากินข้าวผัดในร้านอาหารเราต้องจ่าย 80 บาท + น้ำ 15 บาท เหลืออีก 5 บาทไม่ต้องทอน เท่ากับเราต้องจ่ายค่าอาหารธรรมดามื้อนั้น 100 บาท แต่เรากินกะเพราไก่ไข่ดาวแม่ค้ารถเข็นอร่อยเหมือนกันราคา 20 บาท ไข่ดาว 5 บาท น้ำฟรี = เราสามารถกินกะเพราไข่ดาวได้ถึง 4 จาน ในราคาเท่ากับข้าวผัดจานเดียวจากร้านอาหาร แน่นอนเรามีความสุข เราไม่ต้องจ่ายแพง แต่ที่มีความสุขมากกว่าคือได้อุดหนุนแม่ค้ารถเข็น แม่ค้าได้เงิน เงินที่จะเป็นรายได้ เป็นกำไร และเป็นทุนในวันต่อไป
ครั้งหนึ่งเราเคยได้เจอเจ้าสัว cp กับหลาน ๆ ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง สิ่งที่จำได้ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ได้มีโอกาสเห็นคนรวยระดับประเทศเหมือนเห็นดารา วันนั้นเจ้าสัวพาหลาน ๆ มาซื้อขนมในปั๊มน้ำมัน แม่ของเด็ก ๆ พูดบอกลูกว่า " ลื้อจะเอาอะไรก็ได้ เอากี่อย่างก็ได้ แต่ซื้อไปแล้วลื้อต้องกินให้หมด " คำพูดประโยคนั้นแหละคือสิ่งที่เตือนใจเราและเราไม่เคยลืม
เพื่อน ๆ คะ ถ้าใครกำลังเป็นเหมือนเรา ก่อนที่จะตัดสินใจใช้เงินอย่างที่ตัวเองเคยชิน คิดสักนิดดีไหม ช่วยกันเถอะ ประหยัดและเกื้อกูลกันเอง เปลี่ยนจากความฟุ่มเฟือยจนเคยชิน มาเป็นความประหยัดให้เคยชินดีกว่า พอเพียงและเพียงพอค่ะ
เวลาเที่ยง ในขณะที่เรานั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงอยู่ในรถซึ่งเราจอดติดไฟแดงอย่างสบายใจ เรากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่อยู่ในมือ สมองไม่ได้คิดถึงสิ่งอื่นใด แล้วสายตาของเราก็หันไปเห็นผู้ชาย 2 คนที่นั่งอยู่ข้างถนนกับรถซาเล้งเก่า ๆ นี่คงเป็นเวลาอาหารของเขาเหมือนกัน ชายคนหนึ่งหยิบถุงแกงถุงเล็ก ๆ ออกมาจากถุงหูหิ้ว แล้วเขาก็หยิบข้าวเปล่าถุงใหญ่มาก 2 ถุง ที่เราคิดว่าเราคงกินได้ถึง 4 คน แกง 1 ถุงดูจะเป็นกับข้าวอย่างเดียวของเขาทั้งสองคน ดูเขาไม่ทุกข์ไม่ร้อนและมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ความสุขเล็ก ๆ เพื่อคลายหิว เพื่อให้อิ่มท้องและเริ่มงานต่อ สิ่งที่เราเห็นมันทำให้เรารู้สึกสะท้อนใจ ดูเราสิเลือกที่จะจ่ายแพง เพื่อแลกกับความอร่อย ตอบสนองความต้องการของลิ้น ในขณะที่ผู้ชายที่นั่งกินข้าวข้างถนนนั้นกินเพื่อประทังความหิว เรากินแฮมเบอร์เกอร์ฝืดคอขึ้นและหยุดกินในที่สุด ใจคิดทบทวนว่านี่เรากำลังฟุ่มเฟือยจนเป็นความเคยชินแล้วหรือ โดยเห็นว่าการกินอาหารคนเดียวมื้อละเกือบ200เป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือ แล้วคิดถึงพวกเขา ถ้าเขามีเงิน 200 เขาคงไม่คิดใช้เพียงแค่ซื้ออาหารมื้อเดียวคนเดียวเป็นแน่ เขาอาจจะยอมอดบุหรี่แล้วกับเงินไว้ซื้อกับข้าว ซื้อขนม กลับไปฝากลูกเมียตอนเลิกงาน เงิน 200 สำหรับเรา มันได้แค่อาหารขยะ 1 มื้อ แต่สำหรับเขา นั่นคงหมายถึงอาหาร1 มื้อของคนทั้งครอบครัว เรารู้สึกแย่กับสิ่งที่เป็นความเคยชินของตัวเอง อาหารในแต่ละมื้อของเราเคยชินอยู่กับการต้องนั่งตามร้านอาหาร ต้องได้รับการบริการ มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน ตอนเราไปทำธุระเอารถไปซ่อม เราหิวข้าว เราเห็นร้านอาหารใหญ่ ๆ อยู่ 1 ร้านแถวนั้น เราตั้งใจว่าจะเข้าไปกินข้าวผัดสักจาน หน้าทางเข้าร้านอาหาร มีร้านรถเข็นขายอาหารตามสั่งอยู่ เรายืนตัดสินใจอยู่สักพัก กินก็กินวะ ขี้เกียจเดิน ในขณะที่กินอาหารจากร้านรถเข็นอยู่ จู่ ๆ ก็มีความคิดแวบหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี ใช่เลย!!! เราคิดถูกแล้วที่กินร้านรถเข็น เราจะไปอุดหนุนร้านใหญ่ ๆ แพง ๆ นั่นทำไม เอาเงินไปให้คนรวยทำไม นี่ไง แม่ค้ารถเข็นไม่ได้เอาเปรียบเรา ถ้าเรากินข้าวผัดในร้านอาหารเราต้องจ่าย 80 บาท + น้ำ 15 บาท เหลืออีก 5 บาทไม่ต้องทอน เท่ากับเราต้องจ่ายค่าอาหารธรรมดามื้อนั้น 100 บาท แต่เรากินกะเพราไก่ไข่ดาวแม่ค้ารถเข็นอร่อยเหมือนกันราคา 20 บาท ไข่ดาว 5 บาท น้ำฟรี = เราสามารถกินกะเพราไข่ดาวได้ถึง 4 จาน ในราคาเท่ากับข้าวผัดจานเดียวจากร้านอาหาร แน่นอนเรามีความสุข เราไม่ต้องจ่ายแพง แต่ที่มีความสุขมากกว่าคือได้อุดหนุนแม่ค้ารถเข็น แม่ค้าได้เงิน เงินที่จะเป็นรายได้ เป็นกำไร และเป็นทุนในวันต่อไป
ครั้งหนึ่งเราเคยได้เจอเจ้าสัว cp กับหลาน ๆ ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง สิ่งที่จำได้ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ได้มีโอกาสเห็นคนรวยระดับประเทศเหมือนเห็นดารา วันนั้นเจ้าสัวพาหลาน ๆ มาซื้อขนมในปั๊มน้ำมัน แม่ของเด็ก ๆ พูดบอกลูกว่า " ลื้อจะเอาอะไรก็ได้ เอากี่อย่างก็ได้ แต่ซื้อไปแล้วลื้อต้องกินให้หมด " คำพูดประโยคนั้นแหละคือสิ่งที่เตือนใจเราและเราไม่เคยลืม
เพื่อน ๆ คะ ถ้าใครกำลังเป็นเหมือนเรา ก่อนที่จะตัดสินใจใช้เงินอย่างที่ตัวเองเคยชิน คิดสักนิดดีไหม ช่วยกันเถอะ ประหยัดและเกื้อกูลกันเอง เปลี่ยนจากความฟุ่มเฟือยจนเคยชิน มาเป็นความประหยัดให้เคยชินดีกว่า พอเพียงและเพียงพอค่ะ
Tuesday, September 05, 2006
Reading exam technique
Most people (including me) always read the choices before the article but that make me more confuse about the topic
The trick is to SKIM the text to find what is it all about then go the the question part, this will also be benefit because I will know where to find the answer (paragraph 1,2,...)
The trick is to SKIM the text to find what is it all about then go the the question part, this will also be benefit because I will know where to find the answer (paragraph 1,2,...)
งานใหม่ (joke)
เพิ่งมารับงานฟื้นฟู กิจการที่ตกต่ำของบริษัทเป็นวันแรก
เขาเรียกประชุมพนักงานทันที แล้วประกาศนโยบายแรก
ซึ่งก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
ใครทำงานไม่เต็มที่จะต้องถูกพิจารณาอย่างเด็ดขาด
หลังการประชุม เขาออกเดินตรวจตราบริษัท
พร้อมกับผู้จัดการแผนกอีก 6-7 คน
ความสนใจของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนพิงผนังดูคน
อื่นทำงานอย่าง สบายใจ
เขาเดินตรงไปที่ไอ้หนุ่มทันทีแล้วถาม
"เงินเดือนคุณเดือนละเท่าไหร่?"
"เจ็ดพันครับ" ไอ้หนุ่มตอบอย่างไม่สะทกสะท้านล ไม่เปลี่ยนแม้แต่ท่ายืนด้วยซ้ำ
เขาควักเงินเจ็ดพันบาทยื่นให้ไอ้หนุ่มทันที แล้วตะโกนลั่น
"นี่เงินเดือน สุดท้ายของคุณ แล้วเชิญคุณออกไปเลยไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก"
ไอ้หนุ่มคว้าเงินแล้วโกยแน่บทันที
ในขณะที่เขาหันหลังกลับมาหา
พนักงานบริษัทที่ตะลึงกันถ้วนหน้า
แล้วตะโกนถาม...
"ใครตอบผมได้บ้าง ว่าไอ้หนุ่มนั่นทำอะไร เมื่อกี้นี้?"
ความเงียบปกคลุมทั่วสำนักงานเป็นเวลาหลายวินาที
ก่อนที่จะมีผู้กล้าพูดออกมา
"เขามาส่งพิซซาครับ!!!"
เขาเรียกประชุมพนักงานทันที แล้วประกาศนโยบายแรก
ซึ่งก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
ใครทำงานไม่เต็มที่จะต้องถูกพิจารณาอย่างเด็ดขาด
หลังการประชุม เขาออกเดินตรวจตราบริษัท
พร้อมกับผู้จัดการแผนกอีก 6-7 คน
ความสนใจของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนพิงผนังดูคน
อื่นทำงานอย่าง สบายใจ
เขาเดินตรงไปที่ไอ้หนุ่มทันทีแล้วถาม
"เงินเดือนคุณเดือนละเท่าไหร่?"
"เจ็ดพันครับ" ไอ้หนุ่มตอบอย่างไม่สะทกสะท้านล ไม่เปลี่ยนแม้แต่ท่ายืนด้วยซ้ำ
เขาควักเงินเจ็ดพันบาทยื่นให้ไอ้หนุ่มทันที แล้วตะโกนลั่น
"นี่เงินเดือน สุดท้ายของคุณ แล้วเชิญคุณออกไปเลยไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก"
ไอ้หนุ่มคว้าเงินแล้วโกยแน่บทันที
ในขณะที่เขาหันหลังกลับมาหา
พนักงานบริษัทที่ตะลึงกันถ้วนหน้า
แล้วตะโกนถาม...
"ใครตอบผมได้บ้าง ว่าไอ้หนุ่มนั่นทำอะไร เมื่อกี้นี้?"
ความเงียบปกคลุมทั่วสำนักงานเป็นเวลาหลายวินาที
ก่อนที่จะมีผู้กล้าพูดออกมา
"เขามาส่งพิซซาครับ!!!"
ผมไม่มี email address (joke)
ชายคนหนึ่งสมัครเข้าทำงานกับ Microsoft
ในตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด
หลังจากที่ได้ผ่าน การทดสอบหลายๆด้านเช่น การล้างห้องน้ำ Microsoft
ก็ตกลงรับเขาเข้าทำงาน
พร้อมกับขอ email address เพื่อติดต่อกลับภายหลัง
แต่ชายหนุ่มได้ตอบไปว่า "ผมไม่มี email address หรอกครับ
บ้านผมไม่มี computer
ทาง Microsoft จึงบอกไปว่าถ้าคุณไม่มี email
ก็เสมือนว่าคุณไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ เราจึงไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานได้
ด้วยความผิดหวัง เขาเดินออกไปโดยมีเงินติดกระเป๋าเพียง 10 เหรียญ
หลังจากนั้นเขาตัดสินใจเดินเข้า market แล้วซื้อมันฝรั่งมา 10 กก.
แล้วก็เอาไปแบ่งขายให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงจนหมด ได้กำไรมาถึง 100%
หลังจากนั้นเขาก็ทำเหมือนเดิม เอามาขายอีกก็ได้กำไรอีก
จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มขยายธุรกิจของเขาไปเรื่อยๆ ภายใน 5 ปีกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ให้บริการ
ขายผักผลไม้สดๆ ถึงประตูบ้าน
ถึงเวลานี้ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงอนาคตและครอบของตัวเอง เขาคิดว่าเขาควรจะมีประกันชีวิต
ดังนั้นเขาจึงติดต่อเพื่อขอซื้อประกันจากตัวแทนขายประกัน
หลังจากตกลงกันเรียบร้อย ตัวแทนก็ขอ email
เพื่อติดต่อกลับภายหลัง
เขาตอบกลับไปเหมือนเดิม
"ผมไม่มี email address หรอกครับ บ้านผมไม่มี computer"
ตัวแทนรู้สึกแปลกใจเป็นอันมาก
"ช่างน่าสงสารจริงๆ คุณมีบริษัทใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับไม่มีแค่ email address คุณลองคิดดูสิว่าคุณจะทำอะไรได้มากกว่านี้บ้าง ถ้าคุณมี computer กับ email address"
ชายหนุ่ม "อ๋อ ผมก็จะเป็นพนักงานทำความสะอาดของ Microsoft ไง"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:
1. ถึงแม้จะไม่มี internet หรือ email
คุณก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดและเป็นมหาเศรษฐีได้ถ้าคุณขยันทำงาน
2. คุณจำเป็นต้องมี email address ถ้าคุณอยากทำงานที่ Microsoft
3. เนื่องจากว่าคุณได้รับ email ฉบับนี้จากเรา
นั่นแสดงความเป็นไปได้สูงที่คุณจะเป็นพนักงาน ทำความสะอาดมากกว่าที่จะเป็นมหาเศรษฐ
ในตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด
หลังจากที่ได้ผ่าน การทดสอบหลายๆด้านเช่น การล้างห้องน้ำ Microsoft
ก็ตกลงรับเขาเข้าทำงาน
พร้อมกับขอ email address เพื่อติดต่อกลับภายหลัง
แต่ชายหนุ่มได้ตอบไปว่า "ผมไม่มี email address หรอกครับ
บ้านผมไม่มี computer
ทาง Microsoft จึงบอกไปว่าถ้าคุณไม่มี email
ก็เสมือนว่าคุณไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ เราจึงไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานได้
ด้วยความผิดหวัง เขาเดินออกไปโดยมีเงินติดกระเป๋าเพียง 10 เหรียญ
หลังจากนั้นเขาตัดสินใจเดินเข้า market แล้วซื้อมันฝรั่งมา 10 กก.
แล้วก็เอาไปแบ่งขายให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงจนหมด ได้กำไรมาถึง 100%
หลังจากนั้นเขาก็ทำเหมือนเดิม เอามาขายอีกก็ได้กำไรอีก
จนมีรายได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มขยายธุรกิจของเขาไปเรื่อยๆ ภายใน 5 ปีกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ให้บริการ
ขายผักผลไม้สดๆ ถึงประตูบ้าน
ถึงเวลานี้ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงอนาคตและครอบของตัวเอง เขาคิดว่าเขาควรจะมีประกันชีวิต
ดังนั้นเขาจึงติดต่อเพื่อขอซื้อประกันจากตัวแทนขายประกัน
หลังจากตกลงกันเรียบร้อย ตัวแทนก็ขอ email
เพื่อติดต่อกลับภายหลัง
เขาตอบกลับไปเหมือนเดิม
"ผมไม่มี email address หรอกครับ บ้านผมไม่มี computer"
ตัวแทนรู้สึกแปลกใจเป็นอันมาก
"ช่างน่าสงสารจริงๆ คุณมีบริษัทใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับไม่มีแค่ email address คุณลองคิดดูสิว่าคุณจะทำอะไรได้มากกว่านี้บ้าง ถ้าคุณมี computer กับ email address"
ชายหนุ่ม "อ๋อ ผมก็จะเป็นพนักงานทำความสะอาดของ Microsoft ไง"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:
1. ถึงแม้จะไม่มี internet หรือ email
คุณก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดและเป็นมหาเศรษฐีได้ถ้าคุณขยันทำงาน
2. คุณจำเป็นต้องมี email address ถ้าคุณอยากทำงานที่ Microsoft
3. เนื่องจากว่าคุณได้รับ email ฉบับนี้จากเรา
นั่นแสดงความเป็นไปได้สูงที่คุณจะเป็นพนักงาน ทำความสะอาดมากกว่าที่จะเป็นมหาเศรษฐ
Subscribe to:
Posts (Atom)